สายตาหลินสวินฉายแววใจลอย
ถึงแม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่จนบัดนี้เขายังคงจำได้อย่างลึกซึ้ง ระฆังสำริดใบนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘มหามรรคไร้กฎ’!
เพียงแต่ระฆังใน ‘ภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้’ นั่น จะใช่ระฆังมหามรรคไร้กฎจริงหรือไม่
“บัดซบ…!”
พลันนั้นลู่เสวียนจีส่งเสียงคำรามออกมา เขายืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงหิน ผมยาวทั่วศีรษะปลิวไสว สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ แถวนั้นต่างพากันเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
“พี่ใหญ่ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่รู้มีผู้ฝึกปราณเท่าไหร่มาที่นี่ ทว่าจนบัดนี้ยังไม่มีใครได้รับการยอมรับจากภาพนี้เลยสักคน”
เสียงแหบพร่าสายหนึ่งดังขึ้น “ในเมื่อเจ้าก็ทำไม่ได้ เหตุใดถึงไม่รามือ ศุภโชคในโบราณสถานคุนหลุนมากมายปานใด หากเอาเวลาและประสบการณ์มาทิ้งเปล่าที่นี่… ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย”
คราวนี้หลินสวินและอาหูถึงได้มองเห็น ว่าส่วนล่างของภูเขาใหญ่นั้น กลางไอขุ่นมัวคละคลุ้ง มีเงาร่างผอมบางสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
คนผู้นี้ผมเผ้าปลิวยุ่ง ใบหน้าหล่อเหลา หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยแววเรียบเฉย บนพื้นเบื้องหน้าเขาเสียบดาบใหญ่สีเลือดที่ลักษระน่าหวาดหวั่นอยู่เล่มหนึ่ง
สายโซ่สีเทาเป็นสายๆ ยืนขยายออกมาจากดาบใหญ่สีเลือด อีกด้านหนึ่งของโซ่กลับเสียบเข้าไปในร่างของเหล่าผู้ฝึกปราณ
“หืม?”
เมื่อมองเห็นภาพนี้ นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
เงาร่างหลายร่างที่ถูกสายโซ่สีเทาเสียบทะลุพันธนาการเหล่านั้น ถึงกับเป็นพวกหมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ ชื่อหลิงเซียว เยวี่ยเจี้ยนหมิง!
เพียงแต่พวกเขาแต่ละคนประหนึ่งสูญเสียสติครองตัว สีหน้าเฉยชา แววตานิ่งค้าง เหมือนตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น
สายโซ่สีเทานั้นแทงทะลุร่างของพวกเขาเหมืองปลิงที่กระหายเลือด สามารถมองเห็นแสงเลือดเป็นสายๆ ไหลเข้าไปกลางดาบใหญ่สีเลือดที่ปักอยู่บนพื้นเล่มนั้น
“วิชาหลอมอาวุธเลือดอริยะ!”
นัยน์ตาอาหูวาบประกายหนาวเย็น จำวิชาหลอมอาวุธที่แปลกพิสดารเช่นนี้ได้ เป็นมรดกลับของเผ่านักรบกิเลนโลหิต ใช้เลือดของอริยะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยง หลอมศาสตราอริยะบริสุทธิ์ ทารุณและเผด็จการอย่างที่สุด
“เจ้าสวะพวกนี้ วิธีการโหดเหี้ยมนัก…”
ตอนที่หลินสวินได้รู้เรื่องพวกนี้ สีหน้ายิ่งเยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ “อาหู อีกเดี๋ยวพวกเราจะแยกกันเคลื่อนไหว ข้าจะโจมตีลู่เสวียนจี เจ้าไปช่วยพวกหมีเหิงเจิน”
อาหูกล่าวโดยไม่ลังเล “ดี!”
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ชีวิตของพวกหมีเหิงเจินถูกควบคุมอยู่ในมือเจ้าหมอนั่นอย่างสิ้นเชิง ตอนลงมือ จะต้อง…”
อาหูกล่าวว่า “วางใจได้ ข้ารับรองว่าจะเชือดเจ้านั่นตั้งแต่จังหวะแรกแน่ จะไม่ให้สหายของเจ้าเหล่านั้นประสบเหตุไม่คาดฝันอย่างแน่นอน”
หลินสวินพยักหน้า
ทั้งสองต่างเรียกพลังเตรียมต่อสู้ ตั้งท่าจะบุกโจมตีอย่างเงียบๆ!
“ลู่ชง เจ้าว่าข้าทำไม่ได้หรือ”
หน้ากำแพงหิน ลู่เสวียนจีสีหน้ามืดทะมึน มองไปยังเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิด้วยสายตาเยียบเย็น
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าลู่ชงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเสียเวลาอีก”
ลู่เสวียนจีแค่นเสียงเย็น เหลียวมองภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้บนกำแพงหินนั่นอีกครั้ง กล่าวด้วยสายตาเจือแววขุ่นเคือง
“นี่เป็นถึงพลังแห่งสรรพชีวิต ขอเพียงควบคุมมันได้สำเร็จ ข้าก็จะกลายเป็นอริยบุคคลอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่อริยะ!”
“อริยบุคคล อริยะ สองคนนี้ต่างแค่คำเดียว ขอบเขตพลังที่หมายถึงกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง!”
“มีเพียงผู้ที่ตั้งฌานระดับมหาอริยะสำเร็จ จึงจะเรียกว่าเป็นอริยบุคคล สามารถควบคุมพลังแห่งสรรพชีวิตได้ ภายหน้าจึงจะสามารถกลายเป็นราชันอริยะบนมกุฎมรรคาได้!”
“วาสนาและศุภโชคระดับนี้ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราล้วนเห็นไม่มาก ตอนนี้ในเมื่อถูกข้าพบเข้าแล้ว ไหนเลยจะยอมแพ้เช่นนี้ได้”
“ขอเพียงคว้าพลังแห่งสรรพชีวิตมาได้ สิบอันดับแรกบนกระดานมหาอริยะฟ้าดารานั่นจะต้องมีพื้นที่ของข้าแน่นอน!”
กล่าวพลางลู่เสวียนจีเปลี่ยนเป็นเหิมฮึกหาใดเปรียบ
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างเปล่งแสง แผ่จิตรับรู้ไปสัมผัสภาพหมื่นวิญญาณเซ่นไหว้บนกำแพงหินนั้นอีกครั้ง
ตูม!
ทว่าครู่สั้นๆ ร่างของลู่เสวียนจีกลับสั่นกึกราวกับถูกฟ้าผ่า ลอยกระเด็นออกไปอย่างจัง ในปากกระอักเลือด
ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงต่างแตกตื่น
ลู่ชงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นขมวดคิ้วกล่าว “ฝืนบังคับไม่ได้ ไยต้องดึงดัน”
“เจ้าหุบปาก!”
ลู่เสวียนจีคำรามเดือดดาล เขาเสมือนบ้าคลั่ง ตะกายตัวขึ้นอีกครั้ง แผ่จิตรับรู้และพลังไปสัมผัสแผนภาพบนกำแพง
สวบ!
และในยามนี้เอง ดาบหักที่ขาวกระจ่างดุจหิมะสายหนึ่งพลันแหวกอากาศมาเยือน ฟันสังหารด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
พริบตานั้นดุจดั่งธารดาราเก้าสวรรค์ปรากฏกลางอากาศ!
“ระวัง!”
เกือบจะเวลาเดียวกัน ลู่ชงที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นส่งเสียงตะโกนดังสนั่นขึ้นมา
เพียงแต่สุดท้ายก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว
ทั้งใจลู่เสวียนจีคิดแต่จะได้รับการยอมรับจากพลังแห่งสรรพชีวิต คิดไม่ถึงสักนิดว่าในเวลาเช่นนี้ดันมีการลอบโจมตีเข้ามาปุบปับ
หนำซ้ำยังฉับไวและเผด็จการปานนั้น!
เขาหลบไม่ทันสักนิด ล้วนแต่อาศัยสัญชาตญาณที่กรำศึกมานานปีไปต่อต้านทั้งสิ้น
ตูม!
ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่มที่สะเทือนฟ้าดิน ทั้งตัวลู่เสวียนจีถูกฟันกระเด็นออกไป เกราะที่กำบังอยู่เบื้องหน้าถูกบดแตกละเอียด บริเวณอกถูกแหวกออกเป็นรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกสายหนึ่ง เลือดสดๆ ราวน้ำตกไหลริน
ตึง!
ร่างของเขากระแทกพื้น ส่งเสียงอู้อี้ออกมา สะบักสะบอมสุดขีด
“แย่แล้ว มีคนลอบโจมตี!”
ผู้ฝึกปราณแถวนั้นต่างตอบสนองขึ้นมาแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปยกใหญ่ พากันเรียกสมบัติออกมา ไอสังหารแห่ห้อมทั่วร่าง แต่ละคนล้วนระวังตัวขึ้นมา
“พวกสวะหน้าไม่อายคนไหนถึงขั้นกล้าลอบโจมตีข้า”
ลู่เสวียนจีคำรามเดือด สีหน้ากราดเกรี้ยวเขียวคล้ำ รอยแผลบนตัวเขาถึงกับฟื้นฟูด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สวบ!
ดาบหักพริบไหว บุกจู่โจมอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์