Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1739

สรุปบท ตอนที่ 1739 เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์!: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1739 เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์! – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1739 เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์! จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตูม!

โบราณสถานคุนหลุน ใต้อารามมรรคเก่าแก่ที่พังทลายแห่งหนึ่ง มีเงาร่างทองอร่ามร่างหนึ่งพุ่งออกมา

ร่างกายเขาพลันขยายแปลงเป็นสูงหมื่นจั้ง เย้ยฟ้าท้าดิน ยามหายใจทางจมูกปาก ประหนึ่งวาโยอสนีปั่นป่วนอยู่ใต้เวิ้งฟ้า!

ร่างกายของเขาเป็นสีทองบริสุทธิ์ เลือดลมพลุ่งพล่านทะลวงเมฆ ปั่นป่วนคลื่นลมทั่วทิศ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพร่างทององค์หนึ่งเหลือบแลปวงสวรรค์

“ใครกัน”

ร่างสีทองส่งเสียงราวฟ้าผ่าจากเก้าชั้นฟ้า ยื่นมือไปหลายพันจั้ง เงาร่างที่เหมือนหนอนน้อยตัวหนึ่งถูกบีบอยู่กลางฝ่ามือ

“ข้าน้อยตานเฟิงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ คารวะสหายยุทธ์ซวี!”

นี่คือชายชุดสีหยกคนหนึ่ง รูปงามดั่งเทพยุทธ์ บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว สั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ฮึ ทำไมต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วย”

เงาร่างสีทองกล่าวเย็นชา

“ศิษย์พี่คุนจิ่วหลินถูกฆ่า ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายยุทธ์ซวี”

ตานเฟิงรีบร้อนกล่าว

เงาร่างสีทองมุ่นคิ้ว เหวี่ยงตานเฟิงทิ้งไปตามสะดวกค่อยกล่าว “บอกข้ามา ใครฆ่าเขา”

“หลินสวิน!”

“รู้แล้ว”

เงาร่างสีทองพยักหน้า ร่างที่สูงราวหมื่นจั้งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

ตานเฟิงค่อยผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนรอดพ้นเคราะห์ร้าย

ซวีหลิงคุน!

ทายาทแกนหลักของเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวี อสูรมารอริยะแห่งยุคคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สิบสามของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา บำเพ็ญมรรคหลอมกายทั้งร่าง เกริกก้องสะเทือนโลกหล้า

เผชิญหน้ากับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้ตานเฟิงเป็นถึงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ไม่กล้าไม่เคารพแม้เพียงเสี้ยว

“บรรพชนของสองเผ่าจักรพรรดิใหญ่อย่างตระกูลคุนและตระกูลซวีเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’ ทายาททั้งสองเผ่ามีความสัมพันธ์อันดีดุจพี่น้องท้องเดียวกัน…”

ตานเฟิงพึมพำ “ตอนนี้ดูท่าว่าเป็นเรื่องจริงดังคาด ก็ไม่รู้ว่าอสูรมารอริยะที่น่ากลัวอย่างซวีหลิงคุนจะจัดการกับหลินสวินนั่นอย่างไรแล้ว”

‘แท่นสักการะ… เจ้านอกรีตนั่นจะไปไหม…’

บนแนวหนองบึงที่อันตรายรอบด้าน ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งกำลังย่างก้าวเนิบช้า ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างลงมาจะมีฐานบัวหนึ่งดอกปรากฏ ประพรมแสงธรรมดำขลับ

เหนือศีรษะเขาก็ประทับลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง

‘ในการต่อสู้บนเขาพญามังกร พลังที่เจ้านอกรีตนี่สำแดงออกมาเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าแต่ก่อนมาก หากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่านี้แน่’

ภิกษุจีวรดำแววตานิ่งสงบ ใคร่ครวญครู่ใหญ่จึงตัดสินใจ ‘ไม่อาจรอได้อีกแล้ว…’

เปรี๊ยะ!

หลินสวินบดขยี้ป้ายคำสั่งที่เมิ่งอี้ให้มาจนละเอียด

ที่มาพร้อมกันคือคลื่นสะเทือนประหลาด กลางอากาศมีประตูบานหนึ่งปรากฏ

จากนั้นเมิ่งอี้ที่อยู่ในชุดบัณฑิต รูปงามสง่า รวมถึงจีเฉียนและเจียงเหิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีก็ทยอยก้าวออกมา

“พี่หลิน ข้ารอเจ้าตั้งนาน”

เมิ่งอี้ยิ้มเอ่ยปาก ดูดีใจยิ่งนัก

หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “ล่าช้าด้วยเรื่องบางอย่าง ขอท่านทั้งสามโปรดอภัย”

เมิ่งอี้กล่าวด้วยท่าทางเข้าใจ “ข้าได้ข่าวแล้ว บนเขาพญามังกรเกิดศึกนองเลือดสะเทือนใต้หล้า หลินสวินสู้กับเหล่าผู้กล้าด้วยตัวคนเดียว กำราบสังหารอริราชศัตรู เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาในแหล่งสถานคุนหลุนยามนี้เป็นอย่างยิ่ง”

น้ำเสียงเจือความเคารพนับถือ

หลินสวินยิ้มรับ ไม่พูดอะไรมากอีก

เขาสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นจีเฉียนหรือเจียงเหิง ท่าทีที่มีต่อตนล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความมุ่งร้ายน้อยลงไปหน่อย ความหวาดกลัวที่ดูพิกลเพิ่มขึ้นมานิด

แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าเวลาแค่สิบกว่าวัน เจียงเหิงก็เลื่อนขั้นก้าวสู่ระดับมกุฎมหาอริยะแล้ว!

แม้แต่กลิ่นอายของจีเฉียนก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนเท่าตัว

ส่วนเมิ่งอี้ดูเหมือนว่ายังถ่อมตัวอ่อนโยนดังก่อน แต่หลินสวินกลับรู้สึกได้ว่าพลังปราณของอีกฝ่ายก็น่าจะพัฒนาขึ้นไม่น้อย อากัปกิริยา กลิ่นอาย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่แฝงซ่อนอย่างหนึ่ง

เห็นชัดว่าช่วงนี้พวกเมิ่งอี้ จีเฉียน เจียงเหิงก็ได้รับวาสนาศุภโชคมาไม่น้อยเป็นแน่!

“ในเมื่อพี่หลินมาก็คิดว่าคงเตรียมพร้อมแล้ว เวลาไม่คอยท่า พวกเรามุ่งหน้าไปยังแท่นสักการะเลยเป็นอย่างไร”

ทักทายกันครู่หนึ่งแล้วเมิ่งอี้ก็ตัดสินใจ

“ก็ดี”

หลินสวินและอาหูสบตากันวูบหนึ่งแล้วตกปากรับคำ

เมิ่งอี้นำทาง ทั้งกลุ่มออกเคลื่อนไหว

ระหว่างทางเมิ่งอี้สื่อจิตกล่าว ‘จากข่าวที่ข้าได้มา มีบุคคลร้ายกาจไม่น้อยเล็งแท่นสักการะไว้เช่นกัน ทั้งยังมีคนไม่น้อยเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อหลายวันก่อน’

‘ตัวอย่างเช่นจวนอวี๋เหิง เจ้าหมอนี่ก็มาแหล่งสถานคุนหลุนด้วย หากไม่ใช่ว่าสามวันก่อนเขาปรากฏตัวที่แดนลับแห่งหนึ่งกะทันหัน สังหารผู้ฝึกปราณไปหลายสิบคน ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่’

จวนอวี๋!

เป็นตระกูลเผ่าจักรพรรดิที่เก่าแก่อย่างยิ่งตระกูลหนึ่ง

ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ‘เผ่าจักรพรรดิ’ ที่เรียกกันนั้นยังมีรายละเอียดมากเช่นนี้!

หลังผ่านไปสามชั่วยาม

พวกหลินสวินทะยานมาถึงยอดภูเขาไฟลูกหนึ่งที่กำลังพ่นหินหนืดร้อนระอุ

ที่นี่มีแท่นบูชาห้าสีเก่าแก่อยู่แท่นหนึ่ง พร่างพร้อยด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เหมือนคงอยู่มาแต่โบราณ มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความหนาหนักของการตกตะกอนผ่านกาลเวลา

“เมื่อผ่านแท่นบูชานี้ไปก็จะเข้าสู่เขตแดนผนึกที่แท่นสักการะตั้งอยู่ เพียงแต่เส้นทางนี้ถูกลิขิตให้อันตรายถึงขีดสุด ทุกท่านต้องระวังตัวและรอบคอบหน่อย”

เมิ่งอี้พูดพลางพาทุกคนเหยียบไปบนแท่นบูชาห้าสีนั้น

“โอม!”

เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ขวดสมบัติหยกเขียวหนึ่งลอยออกมา ปากขวดพ่นไอขุ่นมัวเหมือนกระแสน้ำถาโถมเข้าไปในแท่นบูชา

ไม่ทันไรแท่นบูชาก็ส่องประกายส่งเสียงดังสนั่น เกิดคลื่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

กระทั่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม บนแท่นบูชาห้าสีก็ไม่มีเงาร่างของพวกหลินสวินแล้ว

“เจ้านอกรีตนี่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว…”

ในจุดที่อยู่ห่างภูเขาไฟออกไป เงาร่างของภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งก้าวมากลางอากาศ มือขวาเขาถือไม้เท้าแห้งท่อนหนึ่ง มือซ้ายประคองบาตรสีดำใบหนึ่ง

“ซาหลิวชิง จนป่านนี้แล้วทำไมเจ้ายังไม่ออกมาเจอกันอีก”

ภิกษุจีวรดำเหลือบสายตามองไปยังจุดที่ห่างออกไปทันใด

“ฮึ ข้าทูตเทพพยากรณ์แห่งสำนักโบราณจรัสเทพ ไม่ใช่ผู้ร่วมวิถีเดียวกันกับผู้หลุดพ้นแห่งแดนกษิติครรภ์อย่างพวกเจ้า”

เสียงต่ำลึกคลุมเครือดังขึ้น หมอกควันสีเทาหลายสายรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นเงาดำที่เลือนรางร่างหนึ่ง

เป็นซาหลิวชิงนั่นเอง

ภิกษุจีวรดำไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ เจ้าหนุ่มนี่ถูกจัดอันดับและตั้งค่าหัวบน ‘กระดานเทพลงทัณฑ์’ ของพวกเจ้าใช่ไหม”

ซาหลิวชิงย้อนถาม “แดนกษิติครรภ์ของพวกเจ้าล่ะ ทำไมถึงมองเจ้าหมอนี่เป็นพวกนอกรีต”

ภิกษุจีวรดำกล่าวราบเรียบ “เขาขโมยมรดกแห่งแดนกษิติครรภ์ของข้าไป ทั้งเอาสมบัติต้องห้ามที่ไม่ควรหยิบไปด้วย คนนอกรีตเช่นนี้หากไม่ขุดรากถอนโคน สวรรค์คงทนไม่ได้”

ซาหลิวชิงร้องอ้อคราหนึ่งก่อนกล่าวง่ายๆ “เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ เจ้าหมอนี่เป็นแค่เป้าหมายเล็กๆ อันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ค่อนไปทางท้าย รางวัลค่าหัวก็ไม่สูง ได้ ‘ผลึกสมบัติมหามรรค’ แค่สามสิบก้อนเท่านั้น”

ภิกษุจีวรดำชะงักไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าอันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ของหลินสวินจะต่ำเช่นนี้ รางวัลค่าหัวก็ต่ำเตี้ยเช่นกัน

นี่อยู่เหนือการคาดเดาของเขาอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ด้วยพลังต่อสู้และรากฐานที่เจ้าหมอนี่สำแดงออกมา ก็ไม่มีทาง… ด้อยค่าเช่นนี้แน่!

…………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์