แส้หางม้ามีชื่อว่า ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ เป็นของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหมือนเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด
ในสายตาของหลินสวิน แส้หางม้านี้ดูไปแล้วไม่มีจุดที่สะดุดตา
มันยาวสองฉื่อสี่ชุ่น โปร่งใสนุ่มนวลเหมือนทำจากหยกขาว ด้ามจับเป็นทรงบัวบาน ส่วนยอดมีไหมแส้หางม้าพลิ้วไหว ละเอียดเหมือนขนวัว แผ่ประกายแสงเร้นลับหลายสายออกมา
บางทีอาจเหมือนที่ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูกล่าวมา ด้วยสาเหตุที่สมบัตินี้ถูกทำลายอย่างหนัก จึงทำให้มันไม่มีจุดที่ดึงดูดสายตาของผู้คนแม้แต่น้อย
แต่ครู่ต่อมาเมื่อเก่ออวี้ผูสะบัดข้อมือ ไหมแส้หางม้าก็วาดขึ้น กลายเป็นรุ้งเทพหลายสายที่ราวกับโซ่มหามรรค ร้อยถักเข้าด้วยกันกลางอากาศ
เมื่อมองไปจิตวิญญาณราวตกอยู่ในมหามรรคเคลื่อนคล้อย เป็นตายไม่เที่ยงแท้ไม่อาจกำหนด!
“แม้ว่าสมบัตินี้จะเสียหายอย่างหนัก แต่ยังมีพลังต้นกำเนิดอยู่ ยังเป็นยอดสมบัติที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม”
เก่ออวี้ผูบอกเล่าความอัศจรรย์ของ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ให้หลินสวินฟัง
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ว่าตนมองผิดไปแล้ว!
แส้หางม้านี้กลายเป็นพลังผนึกอย่างหนึ่งได้เหมือนกรงมหามรรค ทำให้ผู้คนตกอยู่ในนั้น ปรวนแปรไม่แน่นอน ชีวิตไม่อาจเป็นดั่งใจ
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนก็ถูกแส้หางม้านี้กำราบ
โซ่หนึ่งพันแปดร้อยสายที่พาดอยู่บนยอดเขากักเทพสวรรค์ ความจริงแล้วก็คือลักษณ์ประหลาดที่วิวัฒน์มาจากไหมแส้หางม้าหนึ่งพันแปดร้อยเส้น
และไหมแส้หางม้าในมือหลินสวินนั้นก็เป็นพลังต้นกำเนิดของ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ของเก่ออวี้ผูกับจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนก่อนหน้านี้!
“พลังของสมบัตินี้เสียหายมากเกินไป จึงทำให้หลายปีนี้ข่งตู๋เทียนสามารถลงมือล่าผู้ฝึกปราณของโลกภายนอกได้เป็นครั้งคราว หากเป็นตอนที่ยังสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย อย่าว่าแต่เขาข่งตู๋เทียนคนเดียว ต่อให้เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารร่วมมือกันก็จะถูกกำราบอยู่ใต้แส้หางม้านี้!”
น้ำเสียงของเก่ออวี้ผูเจือความภาคภูมิ
เขาเคยเห็นอานุภาพที่แท้จริงของสมบัตินี้ด้วยตาตนเอง
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก ยามสมบูรณ์ไร้บกพร่องสามารถกำราบเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ได้! สมบัตินี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นศาสตราจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นอาจแข็งแกร่งกว่า!
เก่ออวี้ผูกล่าวกำชับ “ศิษย์น้อง สมบัตินี้เจ้าต้องรักษาไว้ให้ดี ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่านำมันออกมาใช้ มิฉะนั้นเกรงว่าจะถูกคนจำได้จนนำภัยมาให้เจ้า”
ขณะกล่าวเขาส่ง ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ให้หลินสวิน “ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะฟื้นฟูสมบัตินี้ได้อย่างสมบูรณ์ ให้มันส่องประกายเหมือนแต่ก่อนอีกครั้ง เช่นนี้จึงจะไม่ละอายต่อชื่อของมัน”
หลินสวินพยักหน้าอย่างเคารพ
เก่ออวี้ผูเผยรอยยิ้มจากใจจริงกล่าว “อายุขัยของข้าหมดแล้ว ในช่วงสุดท้ายนี้ศิษย์น้องมีเรื่องอะไรอยากถามข้าไหม”
ในใจหลินสวินรู้สึกยากจะรับอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ ไม่มีความหวังที่จะอยู่รอดจริงหรือ”
เก่ออวี้ผูส่ายหัว
หลินสวินถอนใจยาวอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าซับซ้อน
ราชันผีเสวียนคงตายแล้ว…
ศิษย์พี่คนนั้นที่ถือครอง ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ก็เหลือมรดกตกทอดทิ้งไว้ เป็นตายไม่อาจรู้…
ยามนี้เก่ออวี้ผูก็ใกล้จะตายจากไป นี่ทำให้หลินสวินอดเคว้งคว้างไม่ได้ บนโลกนี้สุดท้ายแล้วยังมีผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลรอดชีวิตอยู่กี่คน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
หลินสวินถามข้อสงสัยนี้กับเก่ออวี้ผู
“ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ คีรีดวงกมลของพวกเราสูญเสียผู้สืบทอดไปห้าคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตาในระดับจักรพรรดิ แบ่งเป็นศิษย์น้องสิบสี่จี้ซิว ศิษย์น้องยี่สิบหกอู่ฉาง ศิษย์น้องสามสิบเจ็ดเวินหลิว ศิษย์น้องสี่สิบเอ็ดกู้ชิงฉวี ศิษย์น้องสี่สิบสี่เสวียนหยวนจื่อ”
เก่ออวี้ผูกล่าว “สำหรับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น บ้างติดตามข้างกายท่านอาจารย์ บ้างมุ่งหน้าเดินทางไปยังส่วนลึกของวัฏจักรเมื่อนานมาแล้ว บ้างก็ไปอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา บ้างไปแสวงมรรค บ้างไปแจ้งมรรค…”
หลินสวินอดกล่าวไม่ได้ “แต่พวกเขาไม่รู้หรือว่าศิษย์พี่เก้าติดอยู่ที่นี่”
เก่ออวี้ผูเกาหัวน้อยๆ กล่าว “ปีนั้นตอนที่ข้าตัดสินใจเฝ้าอยู่ที่นี่ ก็เคยขอความเห็นชอบจากท่านอาจารย์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น”
หลินสวินถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง
เขายังจะพูดอะไรได้อีก
ตั้งแต่ต้นเก่ออวี้ผูก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว สำหรับเขาความตายอาจเป็นฉากจบที่ไม่น่าเสียดายจริงๆ
“ศิษย์น้อง…”
เก่ออวี้ผูเอ่ยปาก น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมา
หลินสวินเพิ่งสังเกตเห็นว่ากำลังมีละอองแสงมากมายลอยจากตัวเก่ออวี้ผูไป ทำให้เงาร่างเขาเกือบจะว่างเปล่าเต็มที ใกล้จะหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ร่วมดื่มกับข้าอีกครั้งได้ไหม”
เก่ออวี้ผูเป็นคนที่นิสัยทึ่มทื่อลุ่มลึก แต่ในช่วงสุดท้ายนี้กลับดูองอาจและสบายๆ หาใดเปรียบ เขายกไหเหล้าขึ้นมามองหลินสวิน
หลินสวินเริ่มคัดจมูกอยู่บ้าง เขาสูดหายใจลึกก่อนยกไหเหล้าขึ้นมา
เก่ออวี้ผูหัวเราะลั่น แหงนหน้าดื่มด่ำอย่างหนำใจ
เพล้ง!
ไหสุราที่ว่างเปล่าตกสู่พื้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ร่างของเก่ออวี้ผูสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
กลางอากาศเหลือเพียงแสงสายหนึ่ง ในเงาแสงราวกับมีเงาร่างสูงตระหง่านดุจภูผาซ่อนอยู่รางๆ สาวเท้าก้าวใหญ่… ไปยังปลายทางของความว่างเปล่า!
จากนั้นแสงสายนี้ก็กลายเป็นพลังลึกลับ ไหลเข้าไปในหว่างคิ้วของหลินสวิน
‘ข้ามีวิชาหวงถิง สรรสร้างปัญจเทพ จุดตันเถียนแบ่งเป็นสามส่วน เหลืองดำเปลี่ยนกระบวนมรรค ความอัศจรรย์คงอยู่ทุกอณู แท่นมรรคเปิดประตูสวรรค์…’
ในใจหลินสวินมีวิชามรรคอัศจรรย์หนึ่งดังก้อง
ในที่สุดเสียงธรรมพวกนี้ก็ควบรวมเป็น ‘คัมภีร์มหามรรคหวงถิง’ !
บูรพาไม้เจี่ยอี่ ทักษิณไฟปิ่งติง ใจกลางดินอู้จี่ ประจิมทองเกิงซิน อุดรน้ำเหรินขุย
ด้วยเหตุนี้ ‘หวง’ (เหลือง) จึงเป็นสีกลาง ‘ถิง’ (เรือน) ประสานนอกในทั้งสี่ทิศ
สิ่งที่คัมภีร์หวงถิงอธิบายก็คือแก่นอัศจรรย์ของคำว่า ‘บนมหามรรค ข้าคือศูนย์กลาง’
นี่คือมรรคาที่เก่ออวี้ผูเสาะหา คือการหยั่งรู้และข้อสรุปที่เขามีต่อมหามรรค สรุปเป็นคัมภีร์ เหลือไว้ให้หลินสวินก่อนจากโลกนี้ไป
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินได้สติกลับมา อึ้งงันจมสู่ภวังค์ไปครู่หนึ่ง ค่อยยกไหสุราขึ้นมาดื่มเงียบๆ
กระทั่งในเวลาต่อมาหลินสวินถึงได้เข้าใจ ว่าในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปีนั้นเคยมีชายทึ่มทื่อคนหนึ่งที่มือถือขวานศึก ราวกับคนตัดฟืนในป่าเขา ฟาดฟันระดับจักรพรรดิสิบเก้าคนอย่างต่อเนื่อง อานุภาพของเขาดุจแสงส่องสะท้อนปวงสวรรค์!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์