บริเวณสูงสุดของยอดเขาคุนหลุน
แท่นมรรคห้าสีแท่นหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น ดุจดั่งคงอยู่สืบมาตั้งแต่บรรพกาล คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายกาลเวลาด่างพร้อย ลึกลับและขึงขัง
รอบบริเวณแท่นบูชา เป็นหน้าผาบนยอดเขาที่กว้างไพศาล
ที่นี่ ก็คือ ‘แท่นสักการะ’ หนึ่งในสามแดนต้องห้ามใหญ่แห่งคุนหลุน!
ยืนตระหง่านอยู่บนนั้น ดุจดั่งตัวอยู่นอกเวิ้งฟ้า ทอดสายตามองออกไป ก็เป็นเวิ้งจักรวาลเวิ้งว้างแถบหนึ่ง ลึกล้ำเงียบเชียบ ดวงดาวไร้สิ้นสุดวาบสว่างอยู่ในนั้น
ความมโหฬารของเวิ้งจักรวาล ปุถุชนคนทั่วไปไร้วาสนาจะได้เห็นสักนิด และไม่สามารถจินตนาการได้
ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณ ก็ได้แต่แหงนมองฟ้าดารา มีน้อยคนนักที่จะสามารถสอดส่องโฉมหน้าแท้จริงของทั้งจักรวาลได้อย่างถ่องแท้!
ฟ้าดาราไพศาล เวิ้งจักรวาลดุจดั่งไร้ขอบเขต ไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่ารูปจำลองเจ้าจะสูงพันหมื่นจั้ง แต่ในส่วนลึกของเวิ้งจักรวาลกลับเหมือนกลับเล็กจ้อยดุจฝุ่นธุลีผงหนึ่ง
จอมยุทธ์หยั่งมรรค ย่อมเห็นลักษณ์สวรรค์
และลักษณ์สวรรค์ที่เรียกกัน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าภาพฟ้ามุมหนึ่งของเวิ้งจักรวาลไร้ขอบเขต!
มีเพียงได้สัมผัสอย่างแท้จริง และมองเห็นฟ้าดาราเวิ้งจักรวาลที่ไพศาลนั้น จึงจะสามารถล่วงรู้ความกว้างใหญ่ของจักรวาล เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชิวิตใดๆ ก็ตามบนโลกสะท้านสะเทือน
เวลานี้ ยอดเขาคุนหลุน บนหน้าผาราบอันกว้างไพศาล เหลือเพียงเงาร่างเจ็ดแปดสายยืนกันหร็อมแหร็ม
ในนั้นก็มีพวกจวนอวี๋เหิง ฮว่าซิงหลี
“ตามตำนาน ยืนอยู่บนที่แห่งนี้ แหงนมองเวิ้งจักรวาล สามารถสัมผัสแก่นอัศจรรย์มหามรรคที่เป็นแก่นสารที่สุดทั้งเบื้องบนเบื้องล่างทั่วหล้าได้อย่างถ่องแท้”
มีคนกระซิบ แววตาลุ่มหลง “ฤกษ์สักการะอริยมรรคของพวกเรา ก็บรรจุอยู่ภายในนั้น ใครสามารถหยั่งรู้ได้ก่อน คนนั้นก็ปีนขึ้นแท่นมรรคห้าสีแท่นนั้นได้ ได้รับ ‘พลังอริยบุคคลฟ้าประทาน’ เปลี่ยนจากอริยะกลายเป็นอริยบุคคลในคราวเดียว!”
กลางเวิ้งจักรวาล ดวงดาวส่องประกาย บ้างก็สว่างไสว บ้างก็เลือนสลัว บ้างก็เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม บ้างก็อยู่ไกลโพ้นไม่อาจเอื้อม
ทอดสายตามองจากที่ไกลๆ ให้บรรยากาศไพศาล เงียบสงบ และเคร่งขรึมแก่ผู้คน
“สักการะอริยมรรค มีเพียงสองวิธีทาง ผู้ที่สามารถรับรู้ความปรารถนาของสรรพชีวิตทั้งเบื้องบนเบื้องล่างปวงสวรรค์ จะได้รับพลังแห่งสรรพชีวิต สามารถใช้มรรคแห่งตนประทับแจ้งปวงสวรรค์ และผู้ที่บุกเบิกเส้นทางใหม่แก่ชนรุ่นหลัง ก็จะได้สามารถใช้ปณิธานมหามรรคสักการะได้ เพียงแต่ สองเส้นทางนี้ล้วนก้าวเดินไม่ง่ายเลย…”
และมีคนมุ่นคิ้วใคร่ครวญ
“นั่นก็คือศิลามรรคสักการะกระมัง แต่ละแห่งดุจดั่งดวงดารา ป้องพิทักษ์จักรวาลเก้าพันจั้งกลางฟ้าสูง เปล่งแสงสว่างเรืองรอง ได้ครองศิลามรรคนี้ ก็จะได้รับพลังโชควาสนาเวิ้งฟ้าที่มีเฉพาะในแหล่งสถานคุนหลุน และยามแจ้งมรรคพิสูจน์จักรพรรดิในภายหน้า จะมีคุณประโยชน์ส่งเสริมอันน่าเหลือเชื่อ”
จวนอวี๋เหิงเอ่ยปาก นัยน์ตาไหลเวียนด้วยแสงเทพ ทอดมองฟ้าสูงอย่างเคร่งขรึม
ที่ตรงนั้น มีป้ายศิลาแผ่นแล้วแผ่นเล่าลอยอยู่ ปลดปล่อยกลิ่นอายและประกายแสงแตกต่างกันออกมา บ้างก็เวิ้งว้างวังเวง บ้างก็ควบหลอม บ้างก็ดุดันดุจเพลิง บ้างก็ลึกล้ำดั่งน้ำ และบ้างก็ดุกร่าวชวนสยองเหมือนกระบี่
ยี่คือสิ่งที่บุคคลชั้นเลิศทั้งกลุ่มที่ในกาลเวลาที่ผ่านมาเคยผ่านการเคี่ยวกรำของเส้นทางสักการะ มาถึงยอดเขา และสักการะอริยมรรคสำเร็จเหลือทิ้งไว้
ป้ายศิลาเหล่านี้ ก็เหมือนจารึกปาฏิหาริย์ของแต่ละคน สิ่งที่สื่อถึงก็คือเกียรติยศและโชควาสนาอันสูงสุด!
ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามที่มาถึงแท่นสักการะ แทบจะไม่มีใครไม่ปรารถนาจะฝากชื่อไว้บนนี้!
“น่าเสียดาย ก็ไม่รู้ว่าความลับแห่งบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ในตำนานนั่น ซุกซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่ หนำซ้ำ…จะมีอยู่จริงๆ หรือไม่”
ฮว่าซิงหลีถอนใจเบาๆ
บรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ !
ต่อให้ความลับระดับนี้ยังห่างไกลจากพวกเขาเหล่านี้ไกลโพ้น แต่ไม่ว่าใครได้ยินมีหรือจะไม่ใจสั่น
สวบ!
จู่ๆ เงาร่างอรชรสายหนึ่งก็โฉบขึ้นบนยอดเขา กลางละอองแสงสาดกระเซ็น ปรากฏดวงหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนของเหวินฉิงเสวี่ยขึ้น
คนไม่น้อยเสตามอง สีหน้าต่างกันไป
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนรู้ดี เหวินฉิงเสวี่ยกับซวีหลิงคุนร่วมมือกัน ดักซุ่มบนเส้นทางสักการะ หมายจะจับตัวอาหู ใช้นางข่มขู่หลินสวิน
เพียงแต่มองสถานการณ์ เหวินฉิงเสวี่ยดูคล้ายยังยังไม่ประสบความสำเร็จ
นางดูเหมือนยังสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่คิ้วดำขลับที่เล็กเรียวสวยงามคู่นั้นกลับขมวดมุ่น เห็นชัดว่าประสบกับปัญหายากอะไรบางอย่าง
หนำซ้ำ ซวีหลิงคุนก็ไม่ได้ปรากฏตัวพร้อมนาง!
“เทพธิดาฉิงเสวี่ย สหายยุทธ์ซวีเล่า”
มีคนอดถามไม่ได้
“อีกเดี๋ยวก็ตามขึ้นมา”
เหวินฉิงเสวี่ยตอบหนึ่งประโยคอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ในที่นี้ นางกับพวกจวนอวี๋เหิง ฮว่าซิงหลีล้วนนับได้เพียงว่ารู้จักกัน เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้มีมิตรไมตรีอะไร
จะว่าไป ยืนอยู่บนแท่นสักการะแห่งนี้ ระหว่างพวกเขาก็คือคู่ต่อสู้ในการแข่งขัน!
“แต่น่าเสียดาย เมิ่งอี้…” เหวินฉิงเสวี่ยทอดถอนใจในใจ หากเมิ่งอี้ยังไม่ตาย กอปรกับมีความช่วยเหลือจากซวีหลิงคุนนางต้องมีความมั่นใจจะไปจับตายหลินสวินได้แน่
แต่ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงต่างออกไปแล้ว!
นางทอดสายตามองทางจักรวาลไพศาลบนเวิ้งฟ้า สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มระงับความอัดอั้นภายในใจ เริ่มสงบจิตไปสัมผัสรับรู้
งานเร่งด่วนที่สุด คือไปหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์มหามรรคกลางจักรวาลไพศาลนี้ เพื่อแสวงหาฤกษ์ยาม สักการะอริยมรรค!
เมื่อเห็นคนอื่นๆ เช่นนี้ ต่างก็เก็บสายตากลับมา
เหวินฉิงเสวี่ยแม้จะเป็นพวกเทพเซียนที่ชื่อเสียงสะท้านทางเดินโบราณฟ้าดารา งามจับจิตละเมียดละไม แต่พวกที่อยู่ในที่นี่ ใครบ้างไม่ใช่ยักษ์ใหญ่แห่งยุคระดับแนวหน้า
แดนต้องห้ามแท่นสักการะแห่งหนึ่ง กักขังฝีก้าวของผู้ฝึกปราณที่มุ่งหน้ามาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
และบนเส้นทางสักการะ ยิ่งตัดขาดความหวังของผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าใด
คนที่สามารถโดดเด่นเหนือฝูงชน มาถึงบนแท่นสักการะนี้ได้ จนถึงตอนนี้ก็มีแต่พวกเขาเจ็ดแปดคนเท่านั้น!
พวกที่รากฐานพลังน่าสะพรึง ความแข็งแกร่งโดดเด่นเหล่านี้ ย่อมไม่อาจเข้าไปแส่หาเรื่องเพราะเทิดทูนความงามของเหวินฉิงเสวี่ยอย่างแน่นอน
ว่ากันถึงต้นตอ เวลานี้ ระหว่างพวกเขาก็เป็นคู่ต่อสู้ชิงชัยกัน!
เพียงแต่ ตอนที่เหวินฉิงเสวี่ยมาถึงได้ไม่นานเท่าใดนัก เสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลสายหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากเบื้องล่างเส้นทางสักการะ
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์