Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1766

สรุปบท ตอนที่ 1766 หลินสวิน รอข้ากลับมานะ: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1766 หลินสวิน รอข้ากลับมานะ – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 1766 หลินสวิน รอข้ากลับมานะ ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ดินแดนรกร้างโบราณ

บนถนนอันพลุกพล่านดั่งสายน้ำในนครหยกขาว ผู้ฝึกปราณที่เดินสะพายกระบี่มีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก

สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้

แต่ในนครหยกขาวกลับเกิดกระแส ‘สะพายกระบี่’ เพราะเขาเป็นเหตุ

อวิ๋นชิ่งไป๋ตายไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว แต่ผู้ฝึกปราณในนครหยกขาวต่างชินกับนิสัยสะพายกระบี่ไปแล้ว

สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง!

สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ

นครหยกขาวยังคงพลุกพล่านรุ่งเรืองเหมือนเมื่อหลายปีก่อน

ในระยะนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าซูไป๋ สร้างความฮือฮาหลังมาถึงนครหยกขาวเมื่อไม่กี่วันก่อน

ภายในสามวัน เขาฝ่า ‘เก้าหอ’ ในสิบสองหอได้อย่างต่อเนื่อง การฝ่าหอแต่ละครั้งล้วนทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้น!

ความสำเร็จน่าจับตาเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจผิดธรรมดา

และวันนี้ซูไป๋ก็มาถึง ‘หอหลอมจิต’

นอกหอหลอมจิตแน่นขนัด เงาร่างล้อมรอบไปทุกหนแห่ง ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ตอนนั้นผู้อาวุโสหลินสวิน อริยะแท้อันดับหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณก็เคยมาฝ่าสิบสองหอในนครหยกขาว สร้างสถิติที่ไม่เคยมีมาก่อน”

“ซูไป๋คนนี้ หรือต้องการเอาอย่างผู้อาวุโสหลินสวินในตอนนั้น”

“วันนี้ถ้าซูไป๋คนนี้สร้างสถิติได้อีก ก็เท่ากับว่าสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้สมัยมีปราณระดับกระบวนแปรจุติได้ถูกทำลายลงแล้ว”

“พวกเจ้ารู้ที่มาของซูไป๋คนนี้หรือไม่ หมอนี่ไม่รู้โผล่มาจากไหน อายุยังน้อยก็มีมรรควิถีเช่นนี้ น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว”

…ณ ที่นั้นเต็มไปด้วยเสียงสนทนา

ไม่นานนักในหอหลอมจิตที่ฝูงชนจับตามอง ก็มีชายหนุ่มร่างตรงแน่ว แต่งกายด้วยชุดผ้าน้ำเงินทั้งตัวคนหนึ่งเดินออกมา หว่างคิ้วหนักแน่น บุคลิกเคร่งขรึม

ซูไป๋!

ทั้งที่นั้นระส่ำระสายไประลอกหนึ่ง

หญิงสาวบางคนยังเผยสีหน้าหลงใหล หญิงงามชอบพอวีรบุรุษมาแต่โบราณ นับประสาอะไรกับอัจฉริยะหนุ่มผู้โดดเด่นสะดุดตาอย่างซูไป๋

“ทำลายสถิติแล้ว!” ในหอหลอมจิตมีเสียงแก่ชราทอดถอนใจ

ประโยคเดียวทำให้ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์ สายตาทั้งหมดที่มองไปยังซูไป๋ ประหนึ่งมองดูดาวดวงใหม่ที่ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นในดินแดนรกร้างโบราณ และกำลังจะฉายแสงเจิดจ้าเหนือเวิ้งฟ้า!

เพียงแต่ซูไป๋กลับถอนใจในใจ

ผู้คนบนโลกรู้เพียงว่าเขาทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่เขาพยายามในช่วงหลายวันมานี้ ไม่อาจก้าวข้ามสถิติที่หลินสวินอาจารย์ของตัวเองทิ้งไว้ได้สักครั้ง!

‘สมัยท่านอาจารย์อยู่ระดับกระบวนแปรจุติจะแข็งแกร่งปานไหนกัน’

ซูไป๋อึ้งไป ความรู้สึกนึกคิดโบยบิน

ในบริเวณใกล้เคียงผู้คนกำลังโห่ร้องยินดี แต่เขากลับยากจะสนใจ

ตั้งแต่วันที่กราบหลินสวินเป็นอาจารย์ ซูไป๋ก็มองท่านอาจารย์หลินสวินเป็นเป้าหมายที่ต้องไล่ตามตลอดชีพ

เพราะเหตุนี้เขาจึงฝึกปราณจนลืมกินลืมนอน เคี่ยวกรำตัวเองสุดกำลัง แทบจะไม่เคยผ่อนปรน

ภูผาธารากว้างใหญ่เท่าไร บ้านเมืองงดงามเพียงใด ฟ้าดินไพศาลแค่ไหน โฉมตรูสวยสะคราญเท่าใด ก็ไม่เคยทำให้ซูไป๋อ้อยอิ่งได้แต่อย่างใด

ด้วยพากเพียรฝึกปราณอย่างใจจดใจจ่อ กอปรกับมีกระดูกกระบี่แต่กำเนิด พลังปราณของซูไป๋ย่อมทะยานฉับพลัน เหนือล้ำปุถุชน

คนบนโลกล้วนมองเขาเป็นบุคคลชั้นยอดในหมู่ผู้โดดเด่นรุ่นใหม่ของดินแดนรกร้างโบราณ แต่ซูไป๋กลับรู้ว่ารากฐานพลังที่ตนมีตอนนี้ยังสู้ท่านอาจารย์ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ดี

นี่ทำให้เขาท้อแท้นัก ทั้งยังสะท้านอย่างอดไม่ได้ ยิ่งได้รู้เรื่องราวสมัยท่านอาจารย์อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่เอาไหนของตน

เมื่อเทียบในระดับเดียวกัน เขาก็ยังขาดไปมากอยู่ดี!

‘ต้องพยายามกว่านี้ถึงจะได้’

ซูชิงลอบกำหมัดแน่น เขาจดจำคำพูดของหลินสวินได้ขึ้นใจมาโดยตลอด ความหวังเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือ เมื่อท่านอาจารย์กลับมายังดินแดนรกร้างโบราณในสักวัน จะไม่ผิดหวังกับตน

เช่นนี้เขาก็พอใจแล้ว

ส่วนความคิดเห็นของคนบนโลกจะเป็นอย่างไร เขาคร้านจะใส่ใจอยู่แล้ว

“เจ้าหมอนี่… ช่างเหมือนกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นจริงๆ…”

ในที่นั้นมีคนเอ่ยปาก

ซูไป๋ที่กำลังครุ่นคิดอยู่พลันนิ่วหน้า กวาดสายตามองไปแล้วพูดว่า “อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋ ข้าก็คือข้า ข้ากับเขาย่อมไม่ใช่คนจำพวกเดียวกัน”

ทุกคนต่างงุนงง

ทอดถอนใจเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่งเท่านั้น แต่ดันทำให้ซูไป๋ปฏิเสธ ชวนให้รู้สึกเหมือนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

แต่ตัวซูไป๋เองคร้านจะแจกแจงเหตุผล

เขาอยากจากไปแล้ว นอกจากฝึกปราณเขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นสักนิด

“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากเข้ามาฝึกปราณที่สำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้าไหม”

ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน มองดูซูไป๋พร้อมรอยยิ้ม สีหน้าเมตตา

ในที่นั้นระส่ำระสายไประลอกหนึ่ง ทุกคนต่างอิจฉาทั้งยังตกตะลึง สำนักกระบี่เทียมฟ้า ที่นี่เป็นถึงหนึ่งในสำนักโบราณที่มีเพียงหยิบมือของดินแดนรกร้างโบราณ!

และชายชราผู้นี้ยังเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ในสำนักกระบี่เทียมฟ้า เป็นยอดฝีมือที่มีปราณระดับอริยะมานานแล้วคนหนึ่ง

“ไม่สนใจ”

แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ซูไป๋ไม่ใคร่ครวญสักนิดก็ปฏิเสธแล้ว

เพราะชีวิตนี้เขายกคนเพียงคนเดียวเป็นอาจารย์!

ชายชราอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ ยิ้มเอ่ยทันทีว่า “เจ้าไม่ไตร่ตรองอีกหน่อยหรือ ถ้ามีสำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นที่พึ่ง ทรัพยากรการฝึกใดๆ ที่จำเป็นต่อการฝึกปราณก็จะให้เจ้าสมใจทั้งนั้น”

“ขออภัย”

ซูไป๋สายหัวแล้วจากไปทันที

ชายชราถูกตอกหน้าหงายจึงนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ ตามองเงาร่างของซูไป๋จากไปช้าๆ เขาส่ายหัวแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

วันนี้ข่าวเรื่องซูไป๋ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างต่อเนื่อง ทั้งปฏิเสธไม่เข้าเป็นศิษย์สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก

แต่ไม่ว่าข่าวจะอึกทึกครึกโครมอย่างไร ที่มาที่ไปของซูไป๋ รวมถึงอาจารย์ของเขา ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้เลย

ฟุบ!

ทวนยาวกระดูกขาวเจาะผ่านคอของนกปีศาจใหญ่ยักษ์ตัวนั้น แทงทะลุร่างกายของมัน นำเอาเลือดเน่าสีดำออกมาด้วย

ที่น่าเหลือเชื่อก็คือนกปีศาจมหึมานั้นเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ถูกสังหารสิ้นซากจากฟากฟ้า กลิ่นเหม็นคาวปกฟ้าคลุมดิน

เงาร่างชุดดำนั้นยืนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ยื่นฝ่ามือขาวเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งออกมา นิ้วเรียวยาวทั้งห้ารวบเข้าหากันแล้วชกออกไป

ในห้วงอากาศไกลออกไปหลายพันจั้งพลันถูกเจาะเป็นโพรงใหญ่โพรงหนึ่ง กระแสปั่นป่วนในอากาศม้วนตลบดั่งน้ำป่าไหลหลาก กลบร่างนกปีศาจยักษ์ตัวนั้นให้จมอยู่ภายใน

ตูม!

เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ห้วงอากาศแห่งนั้นราวกับแตกพัง ฟ้าดินพลิกคว่ำ มีเค้าลางทำลายล้างขนานใหญ่

วู้มๆๆ…

คลื่นลมเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน ซัดให้หมวกคลุมสีดำของร่างเพรียวบางนั้นเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงามจนทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง

ผิวพรรณของนางเปล่งปลั่งขาวสะอาด ตาโตกระจ่างใส สันจมูกตรงแน่ว ริมฝีกปากเม้มบางๆ เป็นเส้นโค้งงามสวย

เงาร่างนางอ้อนแอ้นสูงโปร่ง เครื่องหน้าดั่งภาพเขียน มองไปไกลๆ เงียบๆ ฟ้าดินเวิ้งว้าง ภูผาธารามืดมน แต่นางกลับเป็นสิ่งที่มีสีสันสดใสที่สุดในนั้น

ความงดงามปานนั้น ความสงบเงียบเช่นนั้น

ซย่าจื้อ!

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ดึงหมวกคลุมสีดำลงมาปิดปังใบหน้า มายังที่ที่นกปีศาจยักษ์ตัวนั้นสิ้นชีพ แล้วหยิบเอาเศษเสี้ยวมหามรรคสีเทาชิ้นหนึ่งขึ้นมา

‘ชิ้นที่หนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ด’

นางนิ่งคิด พอโบกมือครั้งหนึ่งทวนยาวกระดูกขาวก็เคลื่อนมาจากที่ไกลออกไป แล้วตกลงมาในมืออย่างนุ่มนวล

นางหมุนตัว ก้าวเดินไปยังส่วนลึกของโลกมืดมนที่เวิ้งว้างและแหลกสลายแห่งนั้นอีกครา

หลายปีมานี้ นางหนึ่งคน ทวนหนึ่งเล่ม กรำศึกที่นี่มาโดยตลอด

เคยถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์คับขัน เงาร่างอาบเลือด ผิวเนื้อแตกละเอียด เฉียดใกล้ความตาย

ทั้งยังเคยโจมตีศัตรูตัวฉกาจคนแล้วคนเล่าด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง ทุกที่ที่ปลายทวนชี้ไปไม่มีศัตรูใดต้านทานได้

เคยรักษาบาดแผลอยู่เงียบๆ เหม่อลอยอยู่เงียบๆ ในความมืดมิด

แต่เวลาส่วนมาก นางใช้ไปกับการต่อสู้

เหมือนไม่มีวันเหนื่อยล้า

ในโลกอันเวิ้งว้างเสื่อมโทรมแห่งนี้ก็ไม่มีใครให้พูดคุยด้วยได้ แต่นางก็ไม่ได้อยากพูดอะไร ต่อให้ในชั่วขณะที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส เฉียดใกล้ความตาย นางก็มีท่าทีเงียบสงบ

ไม่พูดสักคำ

มีเพียงบางครั้งยามนึกถึงเงาร่างนั้น นางถึงรู้สึกว่าที่แท้ในโลกนี้ก็ไม่ได้มืดมิดไปเสียหมด

ท่ามกลางฟ้าดินมืดสลัว นางเดินโซเซเพียงลำพัง เงาร่างอรชรวาดเงาอันเดียวดายขึ้นในฟ้าดินเวิ้งว้าง

“หลินสวิน รอข้ากลับมานะ”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์