ในส่วนลึกของจักรวาลกว้าง หลินสวินถูกพลังมหึมารัดพัน ดึงเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกยิ่งขึ้นประหนึ่งขนนกเบาหวิวเส้นหนึ่ง
มองไปโดยรอบไม่มีดวงดารา ไม่มีเส้นแสง ขนาดฝุ่นธุลีสักนิดยังมองไม่เห็น แม้แต่กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ระยะทางใกล้ไกลยังไม่อาจรู้สึกได้
เวิ้งว้างว่างเปล่า
ทว่าตลอดทางมานี้ก็ไม่ได้เกิดอันตรายอะไร ทำให้จิตใจของหลินสวินที่เดิมเครียดเกร็งระแวดระวังสงบลงช้าๆ
ตอนแรกสุดที่อยู่บนแท่นมรรคห้าสีนั้น หลังจากได้รับ ‘วิชามรรค’ ที่มาจากการถ่ายทอดวิชาของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล แปลงภาพ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ ให้หายลับไปในฝ่ามือขวา หลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
พลังที่ราวกับผนึกเกิดขึ้นบนแท่นมรรคห้าสี กั้นขวางไม่ให้เขาออกไป
จนกระทั่งสลัก ‘หลินเต้ายวน’ สามคำนี้ที่เป็นฉายามรรคของตนลงไปบนศิลามรรคสักการะ พลังผนึกนั้นถึงเกิดความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด ราวกับมือใหญ่มือหนึ่งจะจับเขาไปจากแท่นมรรคห้าสี
ตอนนั้นเพราะเวลาบีบคั้น ทำให้หลินสวินอธิบายสาเหตุไม่ทัน ทำได้เพียงรีบบอกลาอาหู
‘ก็ไม่รู้ว่านี่จะไปไหนกันแน่…’
หลินสวินแผ่ขยายจิตรับรู้ออกไป แต่กลับพบว่าสัมผัสอะไรไม่ได้เลย
พร้อมๆ กับกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อย เขาก็คร้านจะครุ่นคิดถึงสาเหตุของเรื่องนี้ไปด้วยแล้ว เริ่มคิดคำนวณสิ่งที่ได้รับและเสียไปในการเดินทางสู่แหล่งสถานคุนหลุนคราวนี้
ในแดนหลอมสมบัติ ดาบหักดูดซับไอมรรคหลอมสมบัติจำนวนมาก มีลายสมบัติบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น ‘ห้าสิบสี่’ ลาย อานุภาพเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนชนิดพลิกฟ้าดิน
ในแดนลับป่าท้อ ได้กลืนกินท้อแบนผลหนึ่งเท่ากับฝึกกรำสิบปี ทำให้พลังปราณของตนทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับมหาอริยะ
สิ่งที่ตราตรึงใจหลินสวินก็คือ เงาร่างสีม่วงที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นท้อแบนต้นนั้น รอคอยให้ศิษย์พี่ซึ่งดื้อรั้นทะลุเมฆาผู้นั้นกลับมาโดยตลอด…
ณ ยอดเขาพญามังกร เขากำราบเหล่าผู้กล้า เข้าไปในโลกใบเล็กที่เป็นหนึ่งในแดนลับทั้งเก้า ได้ล่วงรู้ความลับของระฆังมหามรรคไร้กฎ ใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตรับเอาแรงปรารถนาของสรรพชีวิตไป
และในตอนนั้นทำให้หลินสวินได้รู้จักศิษย์พี่ ‘หลี่เสวียนเวย’ ได้รู้ว่า ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ บนเขาพยับครามของดินแดนรกร้างโบราณ เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยหลงเหลือไว้
ระหว่างทางไป ‘แท่นสักการะ’ ที่เป็นหนึ่งในแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน ได้พบศิษย์พี่เก่ออวี้ผูและจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนในยอดเขากักเทพสวรรค์
ในที่สุดจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนก็ถูกผนึกในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด และศิษย์พี่เก่ออวี้ผูมอบ ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหลือไว้ให้
และยังถ่ายทอด ‘คัมภีร์มหามรรคหวงถิง’ ให้แก่ตน…
จวบจนไปถึงแท่นสักการะ พลังปราณของหลินสวินทะลวงขั้นปลายของระดับมหาอริยะ และเมื่อได้หยั่งถึงจุดเปลี่ยนสักการะ ทำให้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าวาสนาที่ถูกผู้คนในโลกมองว่าเป็นความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์นั้น ที่แท้ก็เป็น ‘วิชามรรค’ ที่ท่านอาจารย์ เจ้าแห่งคีรีดวงกมลหลงเหลือไว้
……
นอกจากประสบการณ์ดั่งคลื่นซัดสาดเหล่านี้ ตั้งแต่เขาเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนจวบจนตอนนี้ก็ได้ผ่านศึกนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินสวินไม่จำเป็นต้องแจกแจงเรื่องราวโดยละเอียด ก็ตัดสินได้ว่าเกรงว่าตนจะล่วงเกินขุมอำนาจอย่างหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ไปไม่น้อยแล้ว
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือในอนาคต หลินสวินก็ไม่เคยหวั่นกลัวและเสียใจเพราะเหตุนี้!
ในขณะเดียวกัน ศึกนองเลือดแต่ละครั้งทำให้หลินสวินได้รับทรัพย์หลังศึกจำนวนมากจนเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ขาดสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้จำนวนหนึ่ง
เช่นปลายกระบี่ลึกลับซึ่งเป็นไพ่ตายที่เหวินฉิงเสวี่ยเคยใช้ ‘ภาพสิบหกดาบจักรพรรดิ’ ของซวีหลิงคุนเป็นต้น
โดยสรุป สำหรับหลินสวินแล้วเรียกได้ว่ามีผลเก็บเกี่ยวจากการเดินทางสู่แหล่งสถานคุนหลุนคราวนี้มหาศาล
สิ่งเดียวที่เสียดายก็คือ คราวนี้ยังไม่ได้รวมตัวกับพวกเจ้าคางคกและอาหลู่ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันฉุกละหุกเช่นนี้
“หืม?”
ทันใดนั้นในใจหลินสวินก็หวั่นหวาด มองออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว
จู่ๆ แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของจักรวาลอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ถัดจากนั้นเงาร่างหนึ่งควบรวมขึ้นอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดโบราณสวมเกี้ยวสูง แขนเสื้อใหญ่ไหวกระพือ เส้นผมดั่งสายเงิน ใบหน้าเฉยชา ยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า พลังกฎระเบียบมหามรรคอันน่ากลัวเป็นสายๆ โอบล้อมรอบกาย
พอมองดูจากไกลๆ เขาก็เหมือนนายเหนือหัวผู้สั่งการจักรวาลคนหนึ่ง น่าเกรงขามไม่มีสิ้นสุด ส่งผลให้หลินสวินเพียงมองดูอยู่ไกลๆ ก็เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยเหมือนมด ร่างกายหนาวยะเยือก!
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ไม่เสียแรงที่ให้ข้ารอที่นี่มาจนป่านนี้…”
เสียงเฉยชาแว่วมาจากปากชายวัยกลางคนผู้นั้น แต่ละคำดังสนั่นประหนึ่งบัญชาสวรรค์ สะเทือนจนห้วงอากาศที่อยู่ใกล้เคียงเกิดคลื่นถาโถม
และยามคนผู้นั้นเอ่ยปาก ก็ทอดสายตามองมาที่หลินสวินด้วย
นั่นมันสายตาเช่นไรกัน
ล้ำลึกดั่งเวิ้งฟ้า เฉยชาไร้ความรู้สึก ราวกับสวรรค์มองลงมาที่มดตัวหนึ่ง!
หลินสวินเพียงรู้สึกว่าศีรษะชาหนึบ จิตใจมีเค้าลางพังทลาย เขาแทบจะตัดสินได้ในชั่วพริบตาเดียวว่านี่คงเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
“เจ้าหนุ่ม ศุภโชคที่อยู่บนแท่นสักการะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับได้ในตอนนี้ มอบให้ข้าเถิด”
ชายวัยกลางคนโบกมือ
ขวับ!
หลินสวินเพียงรู้สึกว่าพลังที่เหนี่ยวนำทั้งกายถูกจู่โจมให้สลาย จากนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นอย่างควบคุมไม่ได้
ชายวัยกลางคนแววตาเย็นชา ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง
ชั่วพริบตานี้หลินสวินขนลุกเกรียว มือข้างเดียวเท่านั้นกลับเหมือนปิดฟ้าบังสุริยัน ความน่ากลัวของพลังที่สำแดงออกมาทำให้เขาปลุกความคิดจะต่อต้านไม่ขึ้นสักนิด!
ฮูม!
ก็ในตอนนี้เอง ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ ปรากฏตัวขึ้น แส้หางม้าเพียงเส้นเดียวโบกเบาๆ ในห้วงอากาศ
ตัวของชายวัยกลางคนถูกซัดให้กระเด็นถอยไป ร่างกายบดขยี้ห้วงอากาศว่างเปล่าให้เกิดรอยแยกมหึมายืดขยายไปไกลลิบรอยหนึ่ง
“แส้หางม้ามหามรรค! เก่ออวี้ผู เจ้ายังไม่ตายหรือ”
เสียงโกรธเคืองของชายวัยกลางคนดังไกลออกไป สะเทือนจักรวาล
สามพันเคลื่อนคล้อยส่องแสง ประกายมรรคหลั่งริน สะท้อนเงาร่างหนึ่งที่แต่งกายเหมือนคนตัดฟืนออกมาดั่งภาพมายา
เป็นเก่ออวี้ผูจริงๆ!
หลินสวินนิ่งอึ้งไป หลุดปากออกมาว่า “ศิษย์พี่ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์