หลี่เสวียนเวยยืนกลางอากาศ แขนเสื้อปลิวไสว ผมยาวโบกพลิ้ว สง่างามยากจับต้อง
หลินสวินมองดูอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน ความรู้สึกปั่นป่วน หากกล่าวว่าการปรากฏตัวของศิษย์พี่เก่ออวี้ผูเป็นเรื่องที่ยังเข้าใจได้ เช่นนั้นการปรากฏตัวของหลี่เสวียนเวยกลับเหนือความคาดหมายของเขาไป
“ศิษย์น้อง เรื่องที่ใจเจ้ากังขา ข้าไม่แน่ใจว่าจะตอบได้ แต่ข้าจะบอกเรื่องที่รู้กับเจ้า”
หลี่เสวียนเวยยิ้มขึ้นมาแล้วชี้ที่ศีรษะของตน “เจ้าคงพอจะดูออกว่าข้าก็คือพลังเจตจำนงสายหนึ่ง สมองใช้การไม่ได้นัก”
หลินสวินยิ้มเจื่อนส่ายหัว “ข้าพอจะเดาที่มาที่ไปบางอย่างออก เรื่องพวกนี้… ต่างเกี่ยวข้องกับสามพันเคลื่อนคล้อยใช่หรือไม่”
หลี่เสวียนเวยชูนิ้วโป้งให้ เอ่ยชื่นชมว่า “ศิษย์น้องพูดทีเดียวก็เข้าเป้าเลย สามพันเคลื่อนคล้อยเป็นสมบัติที่ท่านอาจารย์หลงเหลือเอาไว้ ลึกลับหาใดเทียบ แม้เสียหายรุนแรงแต่ก็คุ้มครองส่งศิษย์น้องออกไปได้อย่างปลอดภัย… มาคิดดูก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
หลินสวินมองดูแส้หางม้าที่อยู่ในมือ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ เป็นเพราะ ‘วิชามรรค’ ที่ข้าได้คราวนี้ไม่ธรรมดาเลยถูกหมายหัวหรือ”
หลี่เสวียนเวยยิ้มเอ่ย “ใช่ ท่านอาจารย์ทิ้งวิชามรรคนี้ไว้ที่แท่นสักการะมานานแล้ว ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ขอเพียงเป็นระดับจักรพรรดิที่ตาถึงเสียหน่อยต่างพอมองเค้าลางออกไม่มากก็น้อย จะวางแผนบางอย่างเพื่อสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว”
หลินสวินสูดหายใจสะท้าน เพื่อ ‘วิชามรรค’ หนึ่ง ถึงกับวางแผนและรอคอยมาเนิ่นนาน!
เช่นนั้นวิชามรรคนี้จะล้ำเลิศปานไหนกัน ถึงทำให้ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นสนใจหมายปองได้ปานนี้
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงสมัยอยู่ในป่าต้นหม่อนขึ้นมาทันใด มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ทิ้งวาสนาบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ไว้ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ก็ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าน่ากลัวอย่างจักจั่นทอง จักจั่นขาว ดอกกระบี่พันปีกรอคอยในป่าต้นหม่อนมาเนิ่นนาน
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ก็ทำให้หลินสวินยิ่งรับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ ที่อยู่บนฝ่ามือนั้น
“ศิษย์น้อง ไปเถิด ข้าศิษย์พี่จะไปส่งเจ้าอีกหน่อย”
หลี่เสวียนเวยพูดพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า เสื้อผ้าไหวกระพือ ดูอิสระเสรี
เงาร่างหลินสวินถูกพลังไร้รูปปกคลุมเอาไว้ พุ่งตามหลี่เสี่ยวเวยไปยังส่วนลึกของจักรวาลอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ
“ศิษย์น้อง ข้าแปลงมาจากบัวเขียวแรกกำเนิดที่ท่านอาจารย์ปลูกขึ้นต้นหนึ่ง หลังจากตื่นรู้แล้วก็ติดตามฝึกปราณข้างกายท่านอาจารย์มาโดยตลอด ว่าด้วยเรื่องพรสวรรค์ ข้าสู้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้ ว่าด้วยรากฐานพลัง ข้าก็ยังสู้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้เช่นกัน มีเพียงอย่างเดียวที่ยังถือว่าพอจะอวดได้ก็คือจิตกระบี่สว่างไสวที่มีมาแต่กำเนิด”
ระหว่างทางหลี่เสวียนเวยพูดสบายๆ ว่า “น่าเสียดาย นี่เป็นเพียงประทับเจตจำนงของข้า มิเช่นนั้นจะได้เอา ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ที่ข้าคิดค้นขึ้นเองให้ศิษย์น้องได้ศึกษาสักหน่อย”
หลินสวินยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าไม่ขาดวิชา เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์พี่เก้าเพิ่งถ่ายทอดคัมภีร์มหามรรคหวงถิงให้ข้ามา”
หลี่เสวียนเวยดวงตาเปล่งประกาย “นี่เป็นถึงวิชาก้นกรุของศิษย์พี่เก้า หลอมจิตแห่งอวัยวะตันหน้า ควบรวมร่างมรรคห้าธรรม พลังปราณยิ่งสูง พลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาก็ยิ่งน่ากลัว ตอนพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องถกมรรคกัน ทุกคนล้วนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของตน พรั่งพรูไปด้วยถ้อยคำเลิศล้ำ มีเพียงศิษย์พี่เก้าที่เงียบเชียบไม่ปริปาก”
“แต่พอลงมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เข้าจริง ศิษย์พี่เก้าก็อหังการล้ำโลกเป็นอย่างยิ่ง เรียกเอาธรรมกายห้าธรรมออกมาโจมตีเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจนสะบักสะบอมไปหมด ฮ่าๆๆ”
เมื่อพูดจบหลี่เสวียนเวยก็หัวเราะร่าอย่างอดไม่อยู่
คิดว่าความทรงจำช่วงนี้ประทับในใจเขาอย่างลึกล้ำ จนตอนนี้ยังไม่อาจลืมเลือน
แต่หลินสวินกลับเศร้าใจเล็กน้อย ตอนนี้ศิษย์พี่เก้าเขา… ตายไปนานแล้ว…
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินวิญญาณอาวุธของระฆังมหามรรคไร้กฎนั่นพูดว่า ตอนนั้นท่านเคยไปฝึกมรรคที่เขาพยับคราในดินแดนรกร้างโบราณหรือ”
หลี่เสวี่ยนเวยพยักหน้า “เคยเกิดเรื่องนี้จริงๆ”
“เช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ที่ไหน” หลินสวินถาม
หลี่เสวียนเวยอึ้งไป ตอบอย่างจนใจว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ พลังเจตจำนงสายนี้ผนึกอยู่ในสามพันเคลื่อนคล้อยมานานมากแล้ว หากอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ชั่วพริบตาเดียวข้าก็รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของร่างต้น แต่ในสถานที่บ้าๆ ที่เวิ้งว้างจนนกยังไม่มาถ่ายแบบนี้คงไม่ไหว”
หลินสวินร้องเอ้อคำหนึ่ง
“แต่ถ้าศิษย์น้องไปถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา ไป ‘สำนักยุทธ์เสวียนจี’ ดูสักรอบก็ได้ บรรพจารย์ผู้เปิดสำนักของพวกเขา ‘ป๋อหยาจื่อ’ เป็นศิษย์ฝากนามคนหนึ่งที่ตอนนั้นข้ารับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่อาจจะรู้ว่าร่างต้นของข้าอยู่ที่ไหน”
หลินสวินสะท้านในใจ ชะงักอยู่ตรงนั้นทันที
สำนักยุทธ์เสวียนจีหรือ!
นั่นไม่ใช่สำนักที่จีเฉียนกับเจียงเหิงอยู่หรอกหรือ
ถ้าเป็นเช่นนี้ บรรพจารย์สำนักของพวกเขาจะไม่ต้องเรียกตนว่า ‘อาจารย์อา’ หรือ
ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหลือเชื่อที่สุดก็คือ บรรพจารย์เปิดสำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจี ดันเป็นเพียงศิษย์ฝากนามที่ศิษย์พี่ของตนรับมาส่งๆ คนหนึ่ง…
ศิษย์ฝากนามนะ!
ยังไม่ได้เป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงด้วยซ้ำ!
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีจนแปลกพิกลขึ้นมา
เขาสังหรณ์ใจอย่างแรงกล้าว่าการคาดเดาของตนคงไม่ใช่เรื่องผิด บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ย่อมไม่มีทางชื่อซ้ำกันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับเป็นศึกระหว่างสำนัก หากเกิดกับใครเข้าจะไปทนไหวได้อย่างไรกัน ต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเข่นฆ่าขึ้นแน่!
“เหอะ มีคนมาอีกแล้ว”
ทันใดนั้นหลี่เสวียนเวยก็ยิ้มพลางเอ่ยปาก
เสียงยังไม่ทันเงียบลง ในจักรวาลไกลออกไปก็มีสิงโตยักษ์สีขาวปลอดตัวหนึ่งกระโจนมา กำยำหาใดเทียบ มีกลิ่นอายพิสุทธิ์ล้อมรอบ
ภิกษุผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนสิงโตยักษ์ขาวปลอด ท้ายทอยมีรัศมีวงหนึ่งปรากฏขึ้น สำแดงปรากฏการณ์ประหลาดอย่างบุปผาสวรรค์โปรยปราย แสงพุทธฉายส่อง
ทันทีที่ปรากฏตัว จักรวาลที่มืดทึมและว่างเปล่าแห่งนี้ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวตระการตา เต็มไปด้วยท่วงทำนองเทพอันน่าเกรงขามและสงบเยือกเย็น
เสียงธรรมดังขึ้นเป็นระลอกไปถึงดวงใจประหนึ่งเสียงสวรรค์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นภิกษุระดับจักรพรรรดิที่ครองผลผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว เรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยืนยงคงกระพัน รุ่งโรจน์สว่างไสวไร้สิ้นสุด!
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน จิตใจหลินสวินคงหวาดกลัวเสียงสวดอันน่าเกรงขามนั้นไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
เพราะมีหลี่เสวียนเวยอยู่!
“ภิกษุ เรื่องกฎวาสนาเจ้าเข้าใจเสียยิ่งกว่าข้า ขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่งว่ากลับใจคือฟากฝั่ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์