กาลเวลาเคลื่อนคล้อย เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเฟิงหรูเสวี่ยกับหลี่โผอดทนรออยู่ ไม่กระวนกระวายแต่อย่างใด
มาถึงระดับอย่างพวกเขา สภาวะจิตกับเจตจำนงแข็งแกร่งหาใดเทียบไปนานแล้ว ย่อมไม่ฟุ้งซ่านเพราะทนรอนาน
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากหลินเต้ายวนคนนั้นก็คือหลินสวิน นั่นก็เท่าเป็นการรอคอยยอดศุภโชคที่ทำให้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราจับตามองได้!
หากได้เผชิญหน้ากับวาสนาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็อยากรอต่อ
ในช่วงสามวันนี้แดนลับต้าอวี่ก็ไม่ได้เงียบสงบ ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างได้ยินแล้วว่าเหล่าราชันอริยะออกเคลื่อนไหว ปิดผนึกบริเวณใกล้เคียงเทือกเขาเก้ากระถางเอาไว้
และหลินเต้ายวนก็ตกเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็ง!
ชายหนุ่มที่เมื่อก่อนไม่ได้มีชื่อเสียง แต่กลับโจมตีพวกชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋นได้ ตอนนี้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ถูกจับตามองที่สุดในโลกต้าอวี่แล้ว
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าไม้เด่นเกินไพร ลมย่อมพัดหักโค่น มหันตภัยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งพุ่งเป้าไปยังเขาแล้ว!
……
โครม!
ภายในแดนลับต้าอวี่ เก้ากระถางสั่นระริก ตอนหลินสวินผึกปราณ พลานุภาพน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นไหน
ก็เห็นว่าพลังกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิดที่ถาโถมนั้นพุ่งเข้าไปในร่างกายราวมหานที ทะลวงผ่านทั้งภายในภายนอกร่างกาย ผ่านแขนขาทั้งสี่ร้อยกระดูกทั้งร่าง
กระทั่งในที่สุดเหนือศีรษะเขาก็สะท้อนภาพแท่นบูชา เปล่งประกายดุจสุริยัน ภายในมีกฎเกณฑ์มหามรรคมากมาย ถึงกับสร้างทัศนียภาพอัศจรรย์หาได้ยากอย่าง ‘ไม่เสื่อมไม่ดับ หมื่นกาลไม่แปรเปลี่ยน’
จนตอนนี้มรรคราชันอริยะทั้งร่างของหลินสวินก็มั่นคงโดยสมบูรณ์
ร่างกายเขาเปล่งปลั่ง รูขุมขนทุกกระเบียดต่างมีแสงมรรคเร้นลับหลั่งไหล เลือดลมพิสุทธิ์ไหลรินเชี่ยวกรากดุจเปลวเพลิงควันสัญญาณ กระดูกเส้นเอ็นก็เปล่งรัศมีเจิดจรัสดั่งหลอมด้วยทองเทพ เพียงแค่พลังจากกายเนื้อก็เทียบได้กับประกายคมศาสตราจิตอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดในโลก!
จิตวิญญาณของเขาสั่งการอยู่ที่แท่นบูชา บ่มเพาะอยู่ในร่างกาย เลือดทุกหยดเหมือนโอสถเทพไร้เทียมทาน เปี่ยมด้วยพลังชีวิตไพศาลหาใดเทียบ
ส่วนพลังปราณของเขาก็เหมือนเตาหลอมใหญ่โคจร พลังกำเนิดอริยะสีเขียวไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรถ้ำผสาน เข้มข้นจนแทบจะสลายไม่ได้
มรรคหลอมกาย หลอมจิตและหลอมปราณทั้งสามสาย เป็นหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์!
แต่ทว่าในตอนที่หลินสวินเปิดทางและควบรวมเขตแดนมรรค กลับพบกับปัญหาใหญ่ถึงที่สุดข้อหนึ่ง
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาคือหุบเหวกลืนกิน รากฐานมรรควิถีของเขาคือมรรคดับดารากลืนกิน แต่วิชามรรคที่เขารังสรรค์ขึ้นเองคือเตาหลอมมหามรรค
ถ้าควบรวมเขตแดนมรรค ย่อมต้องเลือกมรรควิถีสายหนึ่งเป็นพลังต้นกำเนิด แต่ที่ทำให้หลินสวินลำบากก็คือ จะทำให้เขตแดนมรรคของตนบรรลุถึงขั้น ‘ไม่เคยมีในอดีตกาล ทั่วหล้ามีเพียงหนึ่งเดียว’ ได้อย่างไร
ยากนัก!
กระถางใหญ่ที่แปลงมาจากกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิดทั้งเก้านี้ ทำให้หลินสวินหลอมต้นแบบเขตแดนมรรคออกมา คล้ายจะเป็นเตาหลอมก็ไม่ใช่ เหมือนหุบเหวก็ไม่เชิง แสดงสภาวะแรกกำเนิดอย่างหนึ่ง
แต่จะปรับปรุงและควบรวมเป็นเขตแดนมรรคที่สมบูรณ์ได้อย่างไรแน่นั้น กลายเป็นปัญหายุ่งยากในใจหลินสวินข้อหนึ่ง
เขตแดนมรรคประหนึ่งโลกใบหนึ่ง ใช้มรรควิถีของตนควบรวมขึ้นมา
เขตแดนมรรคของราชันอริยะแต่ละคนในโลกนี้ล้วนแตกต่างกัน ลักษณะกับอานุภาพก็หลากหลาย
หากคิดจะให้เขตแดนมรรคของตนผงาดเหนือใต้หล้าในแง่คุณลักษณะและอานุภาพ ให้ไปถึงขั้น ‘บนเขตแดนมีข้าเป็นจุดสูงสุด’ เป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็หลอมต้นแบบเขตแดนมรรคออกมาแล้ว ภายหน้ายามแก้ความยุ่งยากในใจได้ ย่อมเป็นรูปร่างได้ในคราวเดียว’
หลินสวินลืมตาขึ้น
ตูม!
พอเขาลุกขึ้นยืน พลานุภาพน่าหวาดหวั่นพาให้ใจสั่นก็ปลดปล่อยออกมา ทำให้กระถางใหญ่ที่แปลงมาจากพลังบ่อกำเนิดแรกกำเนิดทั้งเก้าใบนั้นพลันสั่นระรัว
“ตื่นแล้ว”
“สวรรค์!”
“พลานุภาพน่าตกใจนัก!”
แทบจะในชั่วขณะเดียวพวกอวี่อวิ๋นเหอต่างตกตะลึง ทอดมองไกลๆ ก็เห็นว่าหลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ เก้ากระถางรอบทิศล้อมรอบ เงาร่างปลดปล่อยแสงมรรคเปล่งประกาย ดุจดั่งเทวราชันในตำนานมาเยือนโลก สง่างามไร้เทียมทาน!
อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้นทำเอาพวกอวี่อวิ๋นเหอต่างรู้สึกหวาดหวั่นจนแทบรู้สึกอยากคุกเข่ากราบกราน รู้สึกตัวเล็กจ้อยผิดธรรมดา
นี่ก็คืออานุภาพแห่งมกุฎราชันอริยะหรือ
หลินสวินมองพวกเขาปราดเดียวแล้วเดินลงมาจากห้วงอากาศอย่างแผ่วพลิ้ว
พอเขาหายใจ ทั้งกายเขาก็เหมือนทะเลรับมวลแม่น้ำ เก็บงำพลังขับเคลื่อนทั้งหมดไปด้วย ทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นราบเบาบาง
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเหมือนอยู่เหนือเวิ้งฟ้าหมื่นกาล กวาดขวางทั่วหล้า เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เหมือนปุถุชนคนทั่วไปคนหนึ่ง
ผู้เยี่ยมยอดย่อมเก็บงำ ประหนึ่งคืนสู่สามัญ มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้
นี่ทำให้พวกอวี่อวิ๋นเหอเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ใครจะกล้าเชื่อว่าชายหนุ่มธรรมดาๆ ตรงหน้านี้จะเป็นมกุฎราชันอริยะที่ฝ่ามหาเคราะห์ชั้นยอดผู้หนึ่ง
“ยินดีด้วยพี่หลิน!”
อวี่อวิ๋นเหอยิ้มพลางกุมมือคารวะ แม้กลิ่นอายหลินสวินจะเก็บงำลงไป แต่ในใจอวี่อวิ๋นเหอกลับยังคงรู้สึกกดดันและหวั่นเกรง
เปรียบดั่งเผชิญหน้ากับเสือซ่อนเขี้ยวเล็บ!
“ยินดีอะไรกัน นอกตำหนักนี้ยังมีเคราะห์สังหารรอข้าอยู่”
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
พอยกเรื่องนี้ขึ้นมา พวกอวี่อวิ๋นเหอต่างก็สะดุดกึกในใจ
“พวกเจ้าอยู่ดูการต่อสู้ที่นี่ก็พอ”
หลินสวินเอามือไพล่หลัง เดินออกไปนอกตำหนัก
ขณะนี้ในใจเขามีความปรารถนาที่ข่มไว้ไม่อยู่ผุดขึ้นมา หมายจะลองดูเสียหน่อยว่าพลังของตนในตอนนี้จะแข็งแกร่งถึงขั้นไหน
ส่วนคู่ต่อสู้ที่โลกภายนอกจะมีมากมายเพียงไหน หลินสวินไม่สนใจแล้ว
เขาที่บรรลุระดับมกุฎมหาอริยะแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้กึ่งจักรพรรดิเข้ามา เขาก็กล้าไปงัดข้อ!
……
ท้องฟ้าเหนือเทือกเขาเก้ากระถาง
เฟิงหรูเสวี่ยนั่งขัดสมาธิ หลับตาลง กระบี่โบราณหมองหม่นเล่มหนึ่งวางนอนอยู่ตรงหน้า ไม่ไหวติงแม้สักนิด ประหนึ่งภิกษุเฒ่าทำสมาธิ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์