เลือดสดๆ ย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดง ศึกของเหล่าราชันอริยะศึกหนึ่ง ทำให้พลังกฎระเบียบที่ปกคลุมทั้งแดนลับต้าอวี่ถูกจู่โจมทำลาย
ทิวทัศน์ดั่งวันโลกาวินาศเช่นนั้นทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของแดนลับจิตใจสั่นระรัว เลือกหลบหนีและจากไปโดยไม่ลังเลสักนิด
และยังมีคนที่ไม่กลัวตายมากมายสังเกตการณ์
ถึงอย่างไรการต่อสู้ขนาดนี้ก็เรียกได้ว่าหาได้ยากในโลกต้าอวี่ หมื่นพันปียังไม่ได้เห็นสักครั้ง
เข่นฆ่าเดือดพล่าน
พวกคนใหญ่คนโตที่มาจากเก้าโลกใหญ่เหล่านั้น แต่ละคนเหมือนทวยเทพผู้คลุ้มคลั่งกราดเกรี้ยว อานุภาพสะท้านโลก
เมื่อเทียบกันแล้วหลินสวินที่กรำศึกเพียงลำพังดูคล้ายตกอยู่ในการล้อมโจมตี แต่ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นมกุฎราชันอริยะสองคนนั้นหรือราชันอริยะคนอื่น ล้วนไม่อาจข่มการเข้าจู่โจมของเขาได้สักนิด
เพียงครู่สั้นๆ ก็มีราชันอริยะห้าคนถูกสังหาร!
นี่เป็นจำนวนที่ทำให้ผู้คนบนโลกใจสั่นได้ สำหรับขุมอำนาจใหญ่กลุ่มใดในโลก ระดับราชันอริยะคนหนึ่งก็ประหนึ่งเสาหลักกลางกระแสธาร ทุกครั้งที่เสียไปคนหนึ่ง ล้วนเป็นความเสียหายและความกระทบกระเทือนอันหนักหน่วงหาใดเทียบครั้งหนึ่ง
และในตอนนี้ ราชันอริยะร่วงโรยเป็นสายฝน!
หลินสวินกลับไม่รู้สึกอะไรสักนิดกับเรื่องเหล่านี้ เขาดำดิ่งในการต่อสู้ หยั่งรู้ความอัศจรรย์นานาชนิดของระดับมกุฎราชันอริยะ
แม้เป็นเพียงต้นแบบของเขตแดนมรรคที่ควบรวมออกมา แต่พลังต่อสู้ที่เขาครอบครองในตอนนี้อยู่เหนือราชันอริยะธรรมดาไปไกลมากแล้ว
ต่อให้เป็นมกุฎราชันอริยะอย่างเฟิงหรูเสวี่ยก็ยังอับแสงลงเช่นกัน
ว่ากันถึงแก่น ก็เป็นเพราะมรรคาและพลังต่อสู้ที่เขาครอบครองล้วนเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวทั่วหล้านิรันดร์กาล!
ฟุ่บ!
กระบี่หนึ่งเปล่งแสงเย็นเยียบ ศีรษะเลือดหลั่งรินหัวหนึ่งกระเด็นขึ้น ในที่นั้นมีราชันอริยะตายอีกคนหนึ่ง ถูกดาบหักฟันสังหาร
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง เงาร่างพริบวาบพุ่งไปหาอีกคน
สีหน้าของเขาไม่ทุกข์ไม่สุข แววตาลุ่มลึก สะท้อนหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า เข่นฆ่าดั่งสายลม พลานุภาพดุจเทพ
เคร้ง!
ชายหนุ่มชุดแดงที่มีลายเพลิงแดงประทับอยู่โจมตีเข้ามา มือถือดาบศึกเข้าต้านการจู่โจมของหลินสวิน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สบาย เลือดลมปั่นป่วน
อีกด้านหนึ่ง หญิงชุดหรูหราสง่างามควบคุมจักระเทพที่หมุนวนโครมครามเข้ากำราบหลินสวิน
พลังต่อสู้ของมกุฎราชันอริยะทั้งสองคนนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้กับคนทั่วไป ด้วยการร่วมกันขนาบโจมตี ทำให้พลังจู่โจมของหลินสวินถูกกีดขวาง
หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าราชันอริยะคนอื่นคงถูกสังหารสิ้นซากไปนานแล้ว
‘เขตแดนมรรคพันเปลี่ยนหมื่นแปลง แต่คุณลักษณะกับอานุภาพจะสูงหรือต่ำ มองปราดเดียวก็รู้…’
ระหว่างที่ต่อสู้หลินสวินก็ตระหนักได้ในใจ
หลังจากบรรลุระดับมกุฎราชันอริยะ ทำให้ยามเขาศึกษาเขตแดนมรรคของคนอื่น นัยเร้นลับที่มองทะลุก็แตกต่างไปอีก ทั้งยังทำให้เขารับรู้และเข้าใจเขตแดนมรรคของคนอื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนแปรสภาพเป็นการหยั่งรู้อย่างหนึ่งที่สั่งสมในใจหลินสวิน สิ่งนี้จะมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการควบรวมเขตแดนมรรคของเขาในภายภาคหน้า
‘ในระดับนี้ข้าเป็นเพียงผู้มีพลังปราณขั้นต้น แต่เพราะมรรควิถีและพลังที่ครอบครองเหนือระดับเดียวกันไปไกล จึงสังหารได้เหมือนฆ่าไก่เชือดลิง’
‘น่าเสียดาย ยังไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าข้าควบรวมเขตแดนมรรคให้เป็นรูปเป็นร่าง ตอนบรรลุขั้นสมบูรณ์คงไร้ศัตรูในระดับนี้’
‘ก็ไม่รู้ว่าพวกที่อยู่บน ‘กระดานราชันอริยะปวงสวรรค์’ จะมีมรรควิถีเช่นไร เขตแดนมรรคของพวกเขาจะแข็งแกร่งปานไหนกัน’
…เมื่อความคิดของหลินสวินดั่งโบยบิน ความหยั่งรู้บังเกิดขึ้น การต่อสู้ในที่นั้นก็ยิ่งดุเดือด
โดยเฉพาะชายชุดแดงกับหญิงชุดงามหรูนั้น ขัดขวางและประกบโจมตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาทนไม่ไหวอยู่บ้าง
นี่ก็คือมกุฎราชันอริยะ ถ้าสู้หนึ่งต่อหนึ่งหลินสวินย่อมมั่นใจว่าจะสู้ไวจบไวได้แน่
แต่ในการตะลุมบอนครั้งใหญ่เช่นนี้ จะต้องพบกับการรัดพันของพลังและส่งผลกระทบมากมาย จึงต้องปฏิบัติต่างออกไปแล้ว
หลินสวินไม่คิดอะไรอีก สลัดความคิดฟุ้งซ่าน รวมใจนึกคิด
ตูม!
รอบกายเขาเกิดเสียงมรรคกราดเกรี้ยว แสงสว่างไร้ขอบเขตปะทุออกมา ต้นแบบเขตแดนมรรคแถบหนึ่งฉายขึ้นเบื้องหลังเขา ปกคลุมท้องฟ้าแถบนี้
“สมควรตาย พลังของข้าดันถูกกำราบโดยสมบูรณ์แล้ว!?”
ชั่วพริบตาชายชุดแดงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“นี่มันเขตแดนมรรคอะไรกัน กลิ่นอายที่สร้างขึ้นจะน่ากลัวเกินไปแล้ว…”
ในขณะเดียวกันหญิงชุดงามหรูก็จิตใจสั่นระรัว ร่างกายแข็งทื่อ พลังทั้งร่างต่างถูกมหาพลานุภาพไร้รูปกำราบไว้อย่างจัง
ส่วนราชันอริยะคนอื่นที่อยู่ตรงนั้นยิ่งไม่ไหว แต่ละคนเงาร่างโซซัดโซเซแทบยืนไม่อยู่ การขับเคลื่อนพลังทั้งร่างเกิดความรู้สึกอืดอาด พลังไม่เป็นดั่งใจ เหมือนถูกตีโซ่ตรวนพันธนาการหลายชั้น
“นี่มันพลังอะไร”
พวกเขาตกตะลึง
ก็เห็นว่าห้วงอากาศไกลออกไป เงาร่างหลินสวินปกคลุมไปด้วยไอขุ่นมัว คลุมเครือไม่ชัดเจน
และเหนือหัวเขา เขตแดนมรรคแถบหนึ่งสะท้อนออกมา จะคล้ายเตาหลอมก็ไม่ใช่ จะเหมือนหุบเหวก็ไม่เชิง ภายในนั้นลึกล้ำ ไม่อาจบรรยายได้ดุจมหามรรค
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพียงต้นแบบ แต่เมื่อเขตแดนมรรคนี้ปรากฏ ทุกคนต่างรู้สึกไร้พลังเสมือนตกลงไปในเหวลึก ไม่อาจลิขิตชะตาตัวเองได้ ทั้งยังเหมือนอยู่ในเตาหลอมกลียุค กำลังถูกทรมานและหลอมกลั่น…
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกกดดันทางจิตวิญญาณ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านี้รู้สึกหวาดผวาอย่างน่าประหลาด
แค่ต้นแบบยังน่ากลัวปานนี้แล้ว ตอนที่เป็นรูปเป็นร่างจะน่าตกตะลึงปานไหน
“พวกเจ้าโชคดีนักที่ได้เห็นเขตแดนมรรคของข้าคนแซ่หลิน ตายตาหลับได้แล้ว”
พอหลินสวินเอ่ยปากเสียงตูมก็ดังขึ้น ชายชุดแดงที่อยู่ใกล้เขาที่สุดถูกดึงเข้าสู่เขตแดนมรรคของหลินสวิน
ชั่วพริบตานี้เขาเหมือนตกลงไปในหุบเหวลึกไร้ก้น รอบทิศว่างเปล่า เวิ้งว้างไร้สิ้นสุด ตกลงไปเรื่อยๆ ไร้กำลังดิ้นรน ไร้เรี่ยวแรงเปลี่ยนแปลง…
ความหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นมาในจิตใจ ชายชุดแดงร้องลั่นอย่างอดไม่อยู่ว่า “สหายยุทธ์ ข้ายอมแล้ว ขอเจ้าปล่อยข้าไปสักครั้ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์