“เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับผู้อาวุโสอวี่เสวียน”
หลิ่วชิงเยียนเดินออกมาแล้ว จนกระทั่งมองส่งหญิงรับใช้ชิวขุยเดินออกไป คราวนี้นัยน์ตาสุกใสของนางจึงมองไปทางหลินสวิน “ผู้อาวุโสมีเรื่องวุ่นวายวิ่งเข้าหาแล้วใช่หรือไม่”
หลินสวินคิดเล็กน้อย ไม่ได้ปิดบัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้า
คิ้วดำขลับของหลิ่วชิงเยียนขมวดมุ่น ถอนหายใจเงียบๆ
หลินสวินเชิญอีกฝ่ายนั่งลง รินชาให้นางถ้วยหนึ่ง คราวนี้จึงเอ่ยถามว่า “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าบนยานลมกรดยามนี้ ผู้ใดคิดไม่ดีต่อเจ้า”
หลิ่วชิงเยียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งค่อยกล่าว “ผู้อาวุโสถามมา ข้าย่อมไม่ควรปิดบัง เพียงแต่ในเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงความขัดแย้งภายในของหอเสียงสวรรค์…”
หลินสวินยิ้มเอ่ยตัดบท “เจ้าคิดเสียว่าพูดคุยเล่นกันก็พอ หากไม่จำเป็นข้าย่อมไม่ทำเรื่องที่เกินกำลังแน่นอน”
หลิ่วชิงเยียนพยักหน้าน้อยๆ
บนยานลมกรดครั้งนี้ หอเสียงสวรรค์ทั้งหมดมีกึ่งจักรพรรดิสองคน มกุฎราชันอริยะเจ็ดคน และผู้อาวุโสระดับราชันอริยะหลายสิบคนรวมกันเป็นกำลังหลัก
นอกจากนี้ยังมีศิษย์สืบทอดแท้จริง ผู้คุมกฎ ผู้ติดตามชั้นยอดด้วยส่วนหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องของหลิ่วชิงเยียนนี้ ในระดับกึ่งจักรพรรดิสองคน คนหนึ่งมีจุดยืนที่ชัดเจน แสดงออกว่าไม่พอใจหลิ่วชิงเยียนตั้งแต่ต้น
คนผู้นี้ชื่อว่าฮว่าเตี่ยน เป็นผู้อาวุโสชั้นสูงของหอเสียงสวรรค์
และในหมู่มกุฎราชันอริยะเจ็ดคน มีสี่คนที่เป็นคนใต้ปกครองของฮว่าเตี่ยน อยู่ฝั่งเดียวกัน
อาจารย์จวงอวิ้นจื้อของหลิ่วชิงเยียนกับมกุฎราชันอริยะอีกคนที่ชื่อเซียวอวิ๋นคงกลับยืนอยู่ฝั่งหลิ่วชิงเยียน ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
ทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หลินสวินก็ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “หรือก็หมายความว่า อีกฝ่ายคือกึ่งจักรพรรดิหนึ่งคน มกุฎราชันอริยะสี่คน ส่วนฝั่งเจ้าก็มีแค่มกุฎราชันอริยะสองคนอย่างอาจารย์ของเจ้ากับเซียวอวิ๋นคงเท่านั้นหรือ”
หลิ่วชิงเยียนพยักหน้า
หลินสวินถามต่อว่า “เช่นนั้นกึ่งจักรพรรดิอีกคนและมกุฎราชันอริยะคนสุดท้ายที่เหลือเล่า พวกเขามีจุดยืนอย่างไร”
หลิ่วชิงเยียนถอนใจกล่าวว่า “น่าจะถือได้ว่าวางตัวเป็นคนนอก กอดอกเฝ้าดูอยู่ข้างๆ กระมัง”
สองคนนี้ คนหนึ่งชื่อเหลียงชวนเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ อีกคนชื่อปู้เฟยอวี่ เป็นมกุฎราชันอริยะ
เป็นกลุ่มที่วางตัวเป็นกลาง
ถึงตอนนี้หลินสวินเข้าใจโดยสิ้นเชิง สถานการณ์เช่นนี้ไม่เอื้อประโยชน์ต่อหลิ่วชิงเยียนเป็นที่สุด
ลำพังแค่อีกฝ่ายมีกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเป็นผู้นำ ก็สามารถสร้างแรงกดดันไม่รู้จบให้หลิ่วชิงเยียนรวมถึงอาจารย์จวงอวิ้นจื้อของนางได้แล้ว!
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งนัยน์ตาดำก็ไหวขยับ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางชิงเยียน ข้าบังอาจถามสักอย่าง หากสถานการณ์ยิ่งมีแต่เลวร้ายลง จนสุดท้ายแม้แต่ท่านอาจารย์ของข้ายังไม่มีพลังคุ้มครองเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร’
หลิ่วชิงเยียนอึ้งไป ดวงหน้างามวูบไหวไม่มั่นคง กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่อาจทำให้ท่านอาจารย์ต้องพลอยลำบากแน่”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้ในใจหลินสวินเต้นตุบตับ รู้ว่าหากเกิดความขัดแย้งจริงๆ เป็นไปได้สูงว่าหลิ่วชิงเยียนอาจเสียสละตนเอง เพื่อปกป้องท่านอาจารย์ของนาง!
หลิ่วชิงเยียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้อาวุโส เรื่องพวกนี้ท่านรู้ไว้ก็พอ แต่ไม่อาจเข้าไปพัวพัน พวกเขาเพื่อจะช่วยข่งอวี้บีบให้ข้ายอมจำนน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”
นางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ยังคำนึงถึงคววามปลอดภัยของคนนอกอย่าง ‘อวี่เสวียน’ คนนี้อีก ทำให้หลินสวินยังรู้สึกซึ้งไปพักหนึ่ง
เขาพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
หลิ่วชิงเยียนลุกขึ้นขอตัวลา กลับเข้าห้องไป
หลินสวินนั่งอยู่คนเดียวตรงหน้าโต๊ะหินในลาน จมสู่ภวังค์ความคิดอยู่เนิ่นนาน
เขาไม่กลัวกึ่งจักรพรรดิ ต่อให้จะไม่เปิดเผยตัวตน ก็มีวิธีที่สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้
เพียงแต่ หากอีกฝ่ายตายไป ย่อมต้องก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นเป็นแน่
สิ่งที่หลินสวินครุ่นคิดคือ ภายใต้สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเช่นนี้ ควรทำอย่างไรถึงจะไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยมาถึงตนได้
“คิดอยากก้มหน้าสักหน่อย ออกจะยากไปหน่อยจริงๆ เลย…”
เนิ่นนาน หลินสวินก็อดยิ้มขมขื่นไม่ได้
“เอาเถิด แม่นางชิงเยียนดีร้ายเจ้าก็เป็นเพื่อนเก่าของข้าคนแซ่หลิน มีหรือจะมองดูนางถูกคนรังแก หากบีบคั้นกันจริงๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ประจุเย็นในตาดำของหลินสวินขยับไหว
จากภายนอก นี่ดูเหมือนเป็นเพียงการต่อสู้ภายในของหอเสียงสวรรค์ฉากหนึ่ง แต่หลินสวินรู้ดี บนยานลมกรดลำนี้ ถึงแม้ข่งอวี้ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์จะไม่อยู่ แต่เขากลับส่งผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแฝงตัวเข้ามาด้วย
นี่ก็เป็นการข่มขู่อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน!
“เรือนมรรคดึกดำบรรพ์…”
จู่ๆ หลินสวินก็หัวเราะขึ้นมา
ปีนั้นในแหล่งสถานคุนหลุน เขาฆ่าผู้สืบทอดที่รวมคุนจิ่วหลินอยู่ในนั้นไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีหรือจะเกรงกลัวข่งอวี้คนหนึ่ง?
“หวังว่าเจ้าจะไม่วอแวกับข้า”
หลินสวินตั้งใจจะปกปิดตัวตน ก้มหน้าดำเนินการจริงๆ ไม่ดึงดูดความสนใจของบุคคลอื่นจะเป็นการดีที่สุด
แต่การก้มหน้าและอดทนก็มีขีดจำกัด!
ก็เหมือนปีนั้นตอนที่เขาเพิ่งไปถึงดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าทั่วแปดทิศมีแต่ศัตรู แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าถูกเขาลุยดะฆ่าจนเส้นทางนองเลือดแล้วหรอกหรือ
อดทน ไม่ใช่ทำให้ตนต้องกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์เสมอไป!
หากเป็นเช่นนี้ ยังจะฝึกปราณอะไรกัน
…
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลาว่างจากการฝึกฝน ‘คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า’ กลั่นหลอมจิตแห่งอวัยวะต้นห้า หลินสวินก็เริ่มหลอมสมบัติวางค่ายกลอย่างพวกธงกระบวน จานกระบวน ยันต์กระบวนส่วนหนึ่ง
ยานลมกรดเป็นยานข้ามโลกขนาดมหึมาลำหนึ่ง ตัวเรือนทั้งในนอก ปกคลุมด้วยค่ายกลลายมรรคที่แน่นหนา ยามเมื่อเคลื่อนตัวบนทางเดินโบราณฟ้าดารา หนึ่งวันล้วนสิ้นเปลืองไปกว่าห้าแสนผลึกมรรค
แต่ว่า ก็เพราะปกคลุมด้วยกระบวนผนึกลายมรรคมากมาย ทำให้ยานลมกรดทนทานหาใดเปรียบ ยามเคลื่อนตัวกลางฟ้าดารา สามารถสลายภัยอันตรายที่คาดไม่ถึงได้มากมาย
จากการสังเกตของหลินสวิน พลังกระบวนผนึกที่ปกคลุมบนยานลำนี้ คงจะสามารถต้านทานการโจมตีของระดับกึ่งจักรพรรดิเอาไว้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์