แต่ว่าตอนที่สัมผัสถึงสายตาของหลิ่วชิงเยียน หลินสวินก็ลืมตาจากการนั่งสมาธิ กล่าวเจือรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร ตอนนี้เชื่อแล้วกระมัง”
หลิ่วชิงเยียนพยักหน้า ริมฝีปากเอิบอิ่มฉายรอยยิ้มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “จนป่านนี้ข้ายังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย”
หลินสวินอึ้งไปค่อยกล่าวว่า “นี่ก็เรียกว่าฟ้าย่อมมีทางออกเสมอ แม่นางชิงเยียน ตอนนี้หอเสียงสวรรค์มีเรื่อง ตัวเองยังยากจะเอาตัวรอด สำหรับเจ้ากับอาจารย์กลับยิ่งมีแต่จะปลอดภัยขึ้น”
หลิ่วชิงเยียนร้องอืมคราหนึ่ง แววหมองหม่นที่ปกคลุมหว่างคิ้วไม่จางหายเสี้ยวนั้นก็พลอยลดลงไม่น้อย ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายเปล่งประกายน่าตะลึงออกมาวูบหนึ่ง
นางมานั่งลงข้างๆ หลินสวิน หันหน้าถาม “ผู้อาวุโสอวี่เสวียน ท่านคิดว่าฆาตกรที่ทำเรื่องเช่นนี้จะเป็นใคร”
น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูดุจเสียงสวรรค์
นัยน์ตาสุกใสของนางดุจดารา คิ้วตาดั่งภาพวาด ว่างเปล่าหลุดพ้น เพียงแค่ฟังนางเอื้อนเอ่ยก็เป็นความเพลิดเพลินที่หาได้ยากอย่างหนึ่ง
หลินสวินหยิบน้ำเต้าเปลือกเขียวขึ้นดื่มสุราอึกหนึ่ง พูดติดตลกว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร บางที… อาจจะเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่รักหยกถนอมบุปผา ไม่อาจทนเห็นแม่นางชิงเยียนถูกทำร้ายก็ได้ แต่ว่า แม่นางชิงเยียนไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ฆาตกร’ ได้ นี่เป็นถึงพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่ช่วยขจัดทุกข์บรรเทาโศกคนหนึ่งเชียว”
หลิ่วชิงเยียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง นัยน์ตาสุกใสทอประกาย ทั้งเง้างอดทั้งดีใจ งามจนทำให้ผู้คนใจสั่น
นางขบคิดแล้วกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นโพธิสัตว์มีชีวิตหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่าผู้อาวุโสอวี่เสวียนออกไปข้างนอกเที่ยวหนึ่งก็นำข่าวดียิ่งกลับมาให้ข้า ภายหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนผู้อาวุโสเต็มที่อย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องรอภายหน้าหรอก ตอนนี้เลยแล้วกัน”
จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพรสวรรค์ด้านดนตรีของแม่นางชิงเยียนเป็นเลิศ หนำซ้ำยังเป่าเครื่องดนตรีหายากที่ชื่อว่าขลุ่ยวิญญาณโบราณได้อีกด้วย ไม่ทราบข้าจะโชคดีได้ฟังสักเพลงหรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนเล่าวอย่างตกใจ “ขลุ่ยวิญญาณโบราณ? ผู้อาวุโสได้ยินจากผู้ใดหรือ ตั้งแต่เข้ามาฝึกปราณที่หอเสียงสวรรค์ ข้ายังไม่เคยเผยเครืองดนตรีชิ้นนี้มาก่อนเลย”
ในใจหลินสวินลอบอุทานว่าซวยแล้ว ขณะที่กำลังจะอธิบาย หลิ่วชิงเยียนก็ยิ้มพลางพยักหน้า “แต่ว่าหากผู้อาวุโสชื่นชอบ ข้าน้อยแสดงฝีมืออันต่ำต้อยสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า”
กล่าวพลางนางก็หยิบเครื่องดนตรีที่รูปทรงคล้ายหยดน้ำ ขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านบนมีเก้ารู พื้นผิวเผยความวาววามเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกเขียวออกมา
ขลุ่ยวิญญาณโบราณ!
ส่วนลึกกลางนัยน์ตาหลินสวินวาบแววเหม่อนลอยอย่างยากจะสังเกตเห็น
ปีนั้นยามอายุเจ็ดปี ในคุกใต้เหมือง
นั่นเป็นราตรีคืนหนึ่ง หิมะหนาปลิวว่อน ท่านลู่นั่งอยู่เพียงลำพัง ยกน้ำเต้าสุรานั่งดื่มกลางพายุหิมะ
จนกระทั่งเมาได้ที่ ท่านลู่หยิบขลุ่ยวิญญาณโบราณที่พกติดตัวตลอดออกมา จากนั้นก็เรียกหลินสวินที่ตอนนั้นอายุเพียงเจ็ดปีมานั่งข้างกาย
ไม่มีบทสนทนา ท่านลู่ทำเพียงเริ่มเป่าขลุ่ยวิญญาณโบราณ
เสียงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนั้นลอยล่องกลางพายุหิมะทั่วฟ้าดิน เผยความเงียบเหงาและร้าวรานอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินที่เพิ่งอายุเจ็ดปี สิ่งแรกที่รู้คือในท่วงทำนองนี้มีความโศกเศร้าที่ไม่มีใครรู้ ความอ้างว้างที่ไม่อาจระบายอย่างหนึ่ง
ในตอนท้ายของเพลง ท่านลู่สบสายตากับหลินสวินกล่าวว่า ‘จำเพลงนี้เอาไว้ นี่เป็นร่องรอยสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อนที่แม่เจ้าจะจากไป’
และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา หลินสวินก็จดจำขลุ่ยวิญญาณโบราณ จดจำบทเพลงนั้นเอาไว้
หลิ่วชิงเยียนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลินสวิน สิบนิ้วขาวกระจ่างดุจต้นหอมของนางกดลงบนขลุ่ยวิญญาณโบราณ ริมฝีปากแดงเผยอเบาๆ เริ่มเป่าบรรเลง
ท่วงทำนองไพเราะดุจดั่งเสียงสวรรค์ดังขึ้น เหมือนเสียงลมที่พัดผ่านกลางฟ้าดาราเป็นสายๆ ลอยล่องก้องกังวานอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาอันเวิ้งว้าง…
หลินสวินดื่มสุราเงียบๆ ความทรงจำที่ถูกผนึกประหนึ่งถูกเปิดออก ในใจนึกถึงท่านลู่ขึ้นมา นึกถึงวันเวลาในคุกใต้เหมืองสมัยยังเป็นเด็กในปีนั้น
เรือนพักอันเงียบสงบ ท้องฟ้ายามค่ำคืนดุจสีหมึก แสงดาวส่องสะท้อน ทำนองดนตรีอันไพเราะราวกับเชือกรัดรึงหัวใจผู้คน ดังสะท้อนลอยล่อง
…
“เพื่อสหายยอมพลีชีพ เพื่อโลกหล้ายอมเปื้อนเลือด”
เรือนพักอีกแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเอนบนเก้าอี้โยกอย่างเกียจคร้าน
ศีรษะเขาหนุนสองแขน ไขว้ขายกกระดก ปากก็พึมพำ “อื้อ ไม่ถูก ควรจะเป็นยิ้มร่ำสุรา ฆ่าคนกลางเมืองต่างหาก”
เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเองก็ได้ยินเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนยานลมกรดแล้วเช่นกัน ปฏิกิริยาแรกก็คือตบต้นขาหนึ่งฉาด อุทานงึมงำ ‘พี่ชายคนนี้ เหี้ยมนัก!’
คนของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ บอกจะฆ่าก็ฆ่า ยังไม่เหี้ยมอีกหรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์