Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1826

สรุปบท ตอนที่ 1826 พี่ชายคนนี้ เหี้ยมนัก!: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1826 พี่ชายคนนี้ เหี้ยมนัก! – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 1826 พี่ชายคนนี้ เหี้ยมนัก! ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

แต่ว่าตอนที่สัมผัสถึงสายตาของหลิ่วชิงเยียน หลินสวินก็ลืมตาจากการนั่งสมาธิ กล่าวเจือรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร ตอนนี้เชื่อแล้วกระมัง”

หลิ่วชิงเยียนพยักหน้า ริมฝีปากเอิบอิ่มฉายรอยยิ้มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “จนป่านนี้ข้ายังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย”

หลินสวินอึ้งไปค่อยกล่าวว่า “นี่ก็เรียกว่าฟ้าย่อมมีทางออกเสมอ แม่นางชิงเยียน ตอนนี้หอเสียงสวรรค์มีเรื่อง ตัวเองยังยากจะเอาตัวรอด สำหรับเจ้ากับอาจารย์กลับยิ่งมีแต่จะปลอดภัยขึ้น”

หลิ่วชิงเยียนร้องอืมคราหนึ่ง แววหมองหม่นที่ปกคลุมหว่างคิ้วไม่จางหายเสี้ยวนั้นก็พลอยลดลงไม่น้อย ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายเปล่งประกายน่าตะลึงออกมาวูบหนึ่ง

นางมานั่งลงข้างๆ หลินสวิน หันหน้าถาม “ผู้อาวุโสอวี่เสวียน ท่านคิดว่าฆาตกรที่ทำเรื่องเช่นนี้จะเป็นใคร”

น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูดุจเสียงสวรรค์

นัยน์ตาสุกใสของนางดุจดารา คิ้วตาดั่งภาพวาด ว่างเปล่าหลุดพ้น เพียงแค่ฟังนางเอื้อนเอ่ยก็เป็นความเพลิดเพลินที่หาได้ยากอย่างหนึ่ง

หลินสวินหยิบน้ำเต้าเปลือกเขียวขึ้นดื่มสุราอึกหนึ่ง พูดติดตลกว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร บางที… อาจจะเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่รักหยกถนอมบุปผา ไม่อาจทนเห็นแม่นางชิงเยียนถูกทำร้ายก็ได้ แต่ว่า แม่นางชิงเยียนไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ฆาตกร’ ได้ นี่เป็นถึงพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่ช่วยขจัดทุกข์บรรเทาโศกคนหนึ่งเชียว”

หลิ่วชิงเยียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง นัยน์ตาสุกใสทอประกาย ทั้งเง้างอดทั้งดีใจ งามจนทำให้ผู้คนใจสั่น

นางขบคิดแล้วกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นโพธิสัตว์มีชีวิตหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่าผู้อาวุโสอวี่เสวียนออกไปข้างนอกเที่ยวหนึ่งก็นำข่าวดียิ่งกลับมาให้ข้า ภายหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนผู้อาวุโสเต็มที่อย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องรอภายหน้าหรอก ตอนนี้เลยแล้วกัน”

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพรสวรรค์ด้านดนตรีของแม่นางชิงเยียนเป็นเลิศ หนำซ้ำยังเป่าเครื่องดนตรีหายากที่ชื่อว่าขลุ่ยวิญญาณโบราณได้อีกด้วย ไม่ทราบข้าจะโชคดีได้ฟังสักเพลงหรือไม่”

หลิ่วชิงเยียนเล่าวอย่างตกใจ “ขลุ่ยวิญญาณโบราณ? ผู้อาวุโสได้ยินจากผู้ใดหรือ ตั้งแต่เข้ามาฝึกปราณที่หอเสียงสวรรค์ ข้ายังไม่เคยเผยเครืองดนตรีชิ้นนี้มาก่อนเลย”

ในใจหลินสวินลอบอุทานว่าซวยแล้ว ขณะที่กำลังจะอธิบาย หลิ่วชิงเยียนก็ยิ้มพลางพยักหน้า “แต่ว่าหากผู้อาวุโสชื่นชอบ ข้าน้อยแสดงฝีมืออันต่ำต้อยสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า”

กล่าวพลางนางก็หยิบเครื่องดนตรีที่รูปทรงคล้ายหยดน้ำ ขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านบนมีเก้ารู พื้นผิวเผยความวาววามเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกเขียวออกมา

ขลุ่ยวิญญาณโบราณ!

ส่วนลึกกลางนัยน์ตาหลินสวินวาบแววเหม่อนลอยอย่างยากจะสังเกตเห็น

ปีนั้นยามอายุเจ็ดปี ในคุกใต้เหมือง

นั่นเป็นราตรีคืนหนึ่ง หิมะหนาปลิวว่อน ท่านลู่นั่งอยู่เพียงลำพัง ยกน้ำเต้าสุรานั่งดื่มกลางพายุหิมะ

จนกระทั่งเมาได้ที่ ท่านลู่หยิบขลุ่ยวิญญาณโบราณที่พกติดตัวตลอดออกมา จากนั้นก็เรียกหลินสวินที่ตอนนั้นอายุเพียงเจ็ดปีมานั่งข้างกาย

ไม่มีบทสนทนา ท่านลู่ทำเพียงเริ่มเป่าขลุ่ยวิญญาณโบราณ

เสียงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนั้นลอยล่องกลางพายุหิมะทั่วฟ้าดิน เผยความเงียบเหงาและร้าวรานอย่างบอกไม่ถูก

หลินสวินที่เพิ่งอายุเจ็ดปี สิ่งแรกที่รู้คือในท่วงทำนองนี้มีความโศกเศร้าที่ไม่มีใครรู้ ความอ้างว้างที่ไม่อาจระบายอย่างหนึ่ง

ในตอนท้ายของเพลง ท่านลู่สบสายตากับหลินสวินกล่าวว่า ‘จำเพลงนี้เอาไว้ นี่เป็นร่องรอยสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อนที่แม่เจ้าจะจากไป’

และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา หลินสวินก็จดจำขลุ่ยวิญญาณโบราณ จดจำบทเพลงนั้นเอาไว้

หลิ่วชิงเยียนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลินสวิน สิบนิ้วขาวกระจ่างดุจต้นหอมของนางกดลงบนขลุ่ยวิญญาณโบราณ ริมฝีปากแดงเผยอเบาๆ เริ่มเป่าบรรเลง

ท่วงทำนองไพเราะดุจดั่งเสียงสวรรค์ดังขึ้น เหมือนเสียงลมที่พัดผ่านกลางฟ้าดาราเป็นสายๆ ลอยล่องก้องกังวานอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาอันเวิ้งว้าง…

หลินสวินดื่มสุราเงียบๆ ความทรงจำที่ถูกผนึกประหนึ่งถูกเปิดออก ในใจนึกถึงท่านลู่ขึ้นมา นึกถึงวันเวลาในคุกใต้เหมืองสมัยยังเป็นเด็กในปีนั้น

เรือนพักอันเงียบสงบ ท้องฟ้ายามค่ำคืนดุจสีหมึก แสงดาวส่องสะท้อน ทำนองดนตรีอันไพเราะราวกับเชือกรัดรึงหัวใจผู้คน ดังสะท้อนลอยล่อง

“เพื่อสหายยอมพลีชีพ เพื่อโลกหล้ายอมเปื้อนเลือด”

เรือนพักอีกแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเอนบนเก้าอี้โยกอย่างเกียจคร้าน

ศีรษะเขาหนุนสองแขน ไขว้ขายกกระดก ปากก็พึมพำ “อื้อ ไม่ถูก ควรจะเป็นยิ้มร่ำสุรา ฆ่าคนกลางเมืองต่างหาก”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเองก็ได้ยินเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนยานลมกรดแล้วเช่นกัน ปฏิกิริยาแรกก็คือตบต้นขาหนึ่งฉาด อุทานงึมงำ ‘พี่ชายคนนี้ เหี้ยมนัก!’

คนของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ บอกจะฆ่าก็ฆ่า ยังไม่เหี้ยมอีกหรือ

เขาปิดประตูลงตรงๆ ปากก็บ่นพึมพำ “ดันสงสัยนายน้อยอย่างข้าจริงๆ ด้วย เจ้าสมองกลวงพวกนี้ช่างมีตาหามีแววไม่ชัดๆ”

หญิงชราที่อยู่ไกลออกไปกล่าวขึ้นว่า “นายน้อย ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วกระมัง เจ้าหมอนี่ก็คือตัวปัญหาคนหนึ่ง ใครยุ่งด้วยคนนั้นถึงฆาต”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านถอนหายใจดังเฮ้อ “ก็แค่คุยกันเท่านั้นเอง”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเลิกคิ้ว เปิดประตูออกก็เห็นพวกเฉิงเวินแต่ละคนต่างมองเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลยิ่ง

“โอย ไม่ถอดใจอีก”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านกอดอก ใบหน้าเปื้อนยิ้มทะเล้น “แต่ละคนหน้าตาอึมครึมเป็นคนตายเชียว ร้องไห้หน้าศพกันรึไง”

“คุณชาย ท่านโปรดเคารพกันหน่อย!”

เฉิงเวินกัดฟัน โกรธจนเกือบบันดาลโทสะ “ที่นี่แม้เป็นเขารับแขก แต่ก็เป็นอาณาเขตของหอเสียงสวรรค์ของพวกเรา ไม่ว่าท่านจะมาจากไหน วันนี้หากท่านไม่ให้ความร่วมมือก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”

หญิงชราที่อยู่ไกลออกไปลอบร้องว่าแย่แล้ว

แต่ไม่รอให้นางห้ามปราม ก็เห็นเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านยื่นมือออกไปทันใด

กร๊อบ!

ลำคอของผู้อาวุโสระดับราชันอริยะของหอเสียงสวรรค์อย่างเฉิงเวินถูกบิดเป็นเชือกป่าน

จากนั้นร่างของเขาก็เหมือนถูกผลาญเผา กลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอยลับหายในชั่วพริบตา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ!

“คนที่กล้าข่มขู่นายน้อยอย่างข้า ยามนี้ตายกันหมดแล้ว เจ้าน่ะ… ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเอ่ยปากพลางแย้มยิ้ม นัยน์ตาคู่นั้นหรี่ลง ทำท่าไร้พิษสงโดยสิ้นเชิง

แต่ผู้แข็งแกร่งที่ติดตามมาพร้อมกับเฉิงเวิน ตอนที่เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านอีกครั้ง ร่างกายล้วนแข็งทื่อราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง สีหน้าเปี่ยมแววหวาดผวา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์