ต้องเอาชนะวิญญาณศึกหลอมมรรคสี่ตนจึงจะเข้าไปในชั้นที่เจ็ดได้
แต่ใครต่างก็รู้ว่าชั้นในเจดีย์สมบัติยิ่งสูง พลังต่อสู้ของวิญญาณศึกหลอมมรรคก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ก็เหมือนวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นหกนี้ที่ราวกับรวมตัวกันจากหมอกดำไร้รูป แต่ละตนต่างมีพลังต่อสู้ที่สามารถเทียบได้กับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์!
อีกทั้งพวกมันยังถือครองมรรคและวิชาที่ชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่ความแข็งแกร่งของฝีมือการต่อสู้กลับสามารถทำให้คนทั่วไปหน้าเปลี่ยนสี
บุคคลแห่งยุคสิบกว่าคนอย่างเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู หยวนเหอ ซูมู่หาน ล้วนเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังที่เจิดจรัสที่สุดในแคว้นเมฆา
แต่ตอนนี้แค่ชั้นหกนี่ก็รู้สึกว่ากดดันมากแล้ว ทำให้ความเร็วเปลี่ยนเป็นเนิบช้า สถานการณ์ต่อสู้ก็ดูดุเดือดหาใดเปรียบ
ทว่าหลินสวินกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
กำลังทยอยสลัดพวกเฮ่อเหลียนฉี หลันอวิ๋นเคอ โหยวเทียนซิงไว้เบื้องหลังทีละคน หลังจากมาถึงชั้นที่หก เขายังคงคมปลาบไม่ถดถอย รักษาความเร็วของการโจมตีได้เหมือนก่อนหน้านี้!
นี่ทำให้คนใหญ่คนโตที่เห็นภาพนี้อดเผยแววประหลาดไม่ได้ พาให้ไหวหวั่น
“ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าหมอนี่ยังเผยท่าทางการต่อสู้ที่ไม่ช้าไม่เร็ว ไม่หยิ่งทะนงไม่เร่งร้อนออกมา ความเร็วในการทะลวงด่านไม่อาจพูดได้ว่าเร็ว แต่ก็พูดไม่ได้ว่าช้า แต่ด้วยความเร็วของฝีมือที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ กลับยิ่งทำให้คนตกตะลึง…”
มีคนใหญ่คนโตสูดหายใจเย็นเยียบ
“ไม่ผิด อย่างลู่ตู๋ปู้และอู่หวง ทั้งสองอานุภาพไม่อาจต้าน เดินหน้าไปอย่างองอาจ ตอนนี้แม้จะนำหน้าทิ้งห่างทุกคนไป แต่ยามอยู่ในชั้นที่หกนี้ก็เจอกับแรงกดดันเช่นกัน”
มีคนวิเคราะห์ “แต่จินตู๋อีนี่ก็มั่นคงเกินไปแล้ว ตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นหกนี้ เวลาที่เขาใช้ในการฝ่าด่าน รวมถึงรูปแบบวิชายุทธ์แทบจะเหมือนเดิม ช่างน่าสะพรึงนัก”
“หากคาดเดาตามนี้ ถ้าอยากทำได้ถึงขั้นนี้จำเป็นต้องมีพลังที่สยบทุกสิ่งจึงจะทำได้ และวิญญาณศึกหลอมมรรคในชั้นที่หกนี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหมอนี่อย่างเห็นได้ชัด!”
คำพูดนี้ทำให้คนใหญ่คนโตมากมายผงกศีรษะเห็นด้วย
พวกเขาหากไม่ใช่เจ้าสำนักก็เป็นผู้นำตระกูลเก่าแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสายตาที่หลักแหลมระดับใด ล้วนมองออกว่าหากจินตู๋อีคนนี้รักษาท่าทีในการฝ่าด่านเช่นนี้ต่อไปได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะแซงหน้าไปก่อน!
พอเห็นว่าทุกคนชื่นชมยกย่องหลินสวิน เหิงเซียวก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ ในใจแอบพูดว่า อาจารย์อาเล็กของบรรพจารย์แห่งสำนักยุทธ์เสวียนจีของข้า มีหรือจะธรรมดา
มีเพียงสีหน้าของนักพรตหลันที่ค่อนข้างอึมครึมอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้เขายังยืนยันว่าวิธีการต่อสู้ที่เหมือนบุกเข้าไปในอึดใจเดียวนี้ของหลินสวิน ย่อมถูกลิขิตให้แผ่วปลายและสิ้นสุด ยืนหยัดได้ไม่นาน
แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าเริ่มตั้งแต่ชั้นที่ห้ามา ตลอดทางหลินสวินไม่เพียงแต่เหนือกว่าคู่แข่งทุกคน หลังจากมาถึงชั้นที่หกก็ยังไม่เห็นสัญญาณอ่อนกำลังที่ยืนหยัดไม่อยู่ใดๆ!
นี่ทำให้เขาจนคำพูดอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดใส่โดยไร้สุ้มเสียง ออกจะวางหน้าไม่สนิทเท่าไร
นักพรตหลันสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวเสียงขรึม “ตอนนี้ในชั้นที่หกมีผู้กล้าหญิงแห่งยุคอย่างเซี่ยอวี่ฮวา มีอัจฉริยะนิรันดร์อย่างหวังถู คนอื่นอย่างพวกซูมู่หานก็ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้ปรีชาสามารถในหมู่ยอดบุคคล เขาจินตู๋อีคิดอยากแซงหน้าไปก่อน… เกรงว่าคงเป็นไปได้ยาก”
ทุกคนอึ้งไป หลายคนต่างลอบส่ายหัว มีหรือจะฟังไม่ออกว่าคำพูดนี้ของนักพรตหลันเจือความอคติแล้ว
“เป็นไปได้ยากหรือไม่ ไม่ใช่เจ้านักพรตหลันพูดแล้วจะเป็นตามนั้น!”
เหิงเซียวทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เอ่ยเสียงเย็นชา “เป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่ง ยังพุ่งเป้าไปที่เจ้าหนุ่มคนหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยคำพูดโหดร้ายเช่นนี้อีก นักพรตหลัน เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้คนทั่วไปเยาะหยันหรือ”
นักพรตหลันสีหน้าอึมครึม เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้น
“รีบดูเร็ว เจ้าหนุ่มนี่สังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคตนที่สองของชั้นที่หกแล้ว นำหน้าคู่ต่อสู้เก้าคนไปได้ในชั่วขณะเดียว!”
ประโยคเดียวทำให้ทั้งที่นั้นสั่นสะเทือน พากันหันสายตามองไป
แดนลับหมอกดำชั้นที่หก ขอแค่เอาชนะวิญญาณศึกหลอมมรรคได้สี่ตนก็จะเข้าสู่ชั้นที่เจ็ด
ส่วนพวกเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู หยวนเหอ ซูมู่หานทั้งสิบกว่าคนก่อนหน้านี้ เกือบทั้งหมดล้วนกำลังห้ำหั่นกับวิญญาณศึกหลอมมรรคสี่ตนนี้อย่างสุดกำลัง
บุคคลร้ายกาจอย่างเซี่ยอวี่ฮวาและหวังถูต่างสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคได้สามตน กำลังห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้ตัวสุดท้าย
ส่วนพวกหยวนเหอและซูมู่หานก็สังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคไปสองตนแล้ว กำลังห้ำหั่นอยู่กับวิญญาณศึกหลอมมรรคตัวที่สาม
อีกเก้าคนก็กำลังโรมรันอยู่กับวิญญาณศึกหลอมมรรคตัวที่สอง
ตอนนี้หลินสวินเพิ่งมาถึงชั้นที่หกก็สังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคไปสองตัวแล้ว เท่ากับนำคู่ต่อสู้เก้าคนไปได้ในคราเดียว!
เหตุการณ์นี้ย่อมสะเทือนใจคนมากเป็นธรรมดา
นักพรตหลันที่เดิมทีคิดจะแย้งเหิงเซียวเห็นดังนี้ก็เงียบกริบไปทันที เพลิงโทสะทั่วท้องไร้ที่ระบาย อึดอัดจนใบหน้าชราปรวนแปรไม่หยุด
ในใจเหิงเซียวกลับชื่นมื่นหาใดเปรียบ กล่าวว่า “นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่ามาทีหลังแต่แซงหน้าไปก่อน ทั้งยังมีอนาคต!”
คนใหญ่คนโตอื่นๆ ในที่นั้นต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าแตกต่างกันออกไป
พวกเขาเจอจินตู๋อีเป็นครั้งแรก หาใช่ศัตรูคู่อาฆาต ย่อมไม่มีอคติอะไรเป็นธรรมดา
แต่พวกเขากลับมองออกนานแล้ว ว่าจินตู๋อีคนนี้น่าจะเคยล่วงเกินเกาะเทพเวหาทมิฬมาก่อน จึงถูกนักพรตหลันหมายหัวเช่นนี้!
สำหรับเรื่องนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางพูดอะไรมาก และไม่มีทางไปเป็นศัตรูกับบุคคลอย่างเจ้าสำนักของเกาะเทพเวหาทมิฬเพราะจินตู๋อีเผยความโดดเด่นแน่
แต่ไม่ทันไรคนใหญ่คนโตเหล่านี้ก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
ทั้งเจ้าสำนักสำนักกระบี่จรดฟ้า เจ้าสำนักลัทธิเทพดาราเมฆ ผู้นำเผ่าจักรพรรดิตระกูลซู เจ้าอาวาสสำนักธรรมคานาอัน… แต่ละคนต่างเผยสีหน้าจริงจัง
ด้วยเพราะตอนนี้หลินสวินสังหารวิญญาณศึกหลอมมรรคตัวที่สามแล้ว อยู่ในระดับที่แทบจะเหมือนพวกเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ซูมู่หาน หยวนเหอทุกประการ!
บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดทันที ทุกสายตาต่างจับจ้องไปบนม่านแสงมหึมานั่น
“ดี!”
“ไม่เลว!”
ไม่นานเจ้าสำนักลัทธิเทพดาราเมฆและเจ้าสำนักสำนักกระบี่จรดฟ้าต่างเผยสีหน้ายินดีพร้อมกัน
ด้วยพวกเซี่ยอวี่ฮวาและหวังถูแทบจะฆ่าวิญญาณศึกหลอมมรรคตัวที่สี่ได้พร้อมกัน เข้าไปในชั้นที่เจ็ดแล้ว!
ส่วนคนใหญ่คนโตอย่างผู้นำเผ่าจักรพรรดิตระกูลซู เจ้าอาวาสสำนักธรรมคานาอันก็ส่ายหัวไม่หยุด สีหน้าซับซ้อน
ด้วยคนที่สามที่บุกเข้าไปในชั้นที่เจ็ดได้คือหลินสวิน!
นี่ก็หมายความว่า พวกซูมู่หาน หยวนเหอ ถูกหลินสวินสลัดทิ้งไว้ด้านหลังแล้ว
“จินตู๋อีนี่เป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก เก็บซ่อนตัวตนแนบเนียน มั่นคงดุจหินผา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์