แต่ไม่รวมหลินสวินอยู่ในนั้น
ตั้งแต่ตอนที่สามารถต้านการร่วมมือกันของผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิห้าคนโดยไม่ต้องพึ่งสมบัติ สภาวะจิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ตอนที่คนระดับเดียวกันอาจจะยังจับจ้องบุคคลชั้นยอดระดับเดียวกันอยู่นั้น หลินสวินกลับเริ่มไตร่ตรองว่าหากพบเจอมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ควรจะสู้อย่างไรดีแล้ว
ยิ่งกว่านั้น แรกเริ่มเดิมทีหลินสวินก็ไม่ได้สนใจสนใจงานชุมนุมถกมรรคสักนิด
หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเคยบอกว่า เป้าหมายของงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้คือมุ่งหน้าไปเสาะหามหาสมบัติแรกกำเนิดที่ ‘เขตต้องห้ามเซียนโบราณ’ นั่น หลินสวินคงไม่มีทางเข้าร่วมด้วยเด็ดขาด
“พี่จิน งานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
จู่ๆ ลู่ตู๋ปู้ก็เอ่ยปาก ไถ่ถามความคิดเห็นของหลินสวิน
ทันใดนั้นสายตาคนอื่นๆ ในโถงใหญ่ต่างก็มองมา หลินสวินเป็นอันดับหนึ่งที่สมชื่อในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามความเห็นของเขา
หลินสวินอึ้งไป ครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้พูดอะไรไปก็ออกจะไวไปหน่อย ยามงานชุมนุมถกมรรคเปิดม่านอย่างแท้จริงเดี๋ยวก็กระจ่างแจ้งเอง”
คำตอบนี้ทำเอาคนไม่น้อยค่อนข้างผิดหวัง
แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าความเห็นเช่นนี้ของหลินสวินใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
แน่นอน ครั้งนี้ใครก็ตามที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค แทบจะเป็นพวกทรงอิทธิพลแนวหน้าในใต้หล้ากันทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ไม่ขาดพวกร้ายกาจที่เรียกได้ว่าวิปริตบางส่วน
แต่ใครจะกล้าบอกว่าคนอย่างพวกเขาในที่นี้ จะไม่มีโอกาสเฉิดฉายในงานชุมนุมถกมรรค
กล่าวง่ายๆ คือ หากไม่ลองสู้กันสักตั้งจะวัดฝีมือกันได้อย่างไร
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยานสมบัติที่มีแสงเทพไหลเวียนลำหนึ่งแล่นออกจากสำนักยุทธ์ว่างเปล่า บรรทุกก้วนซวีเจ้าสำนักสำนักยุทธ์ว่างเปล่ารวมถึงพวกหลินสวินสิบคน เหินทะยานไปยังแคว้นกลางมรรค
ขณะเดียวกัน ทุกแห่งหนในโลกใหญ่หงเหมิงต่างก็บังเกิดภาพเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกที่มาจากการคัดเลือกถกมรรคแต่ละแคว้น ล้วนอยู่ภายใต้การนำทางของผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโส ออกเดินทางจากสี่ทิศแปดทางมุ่งหน้าสู่แคว้นกลางมรรค
“งานชุมนุมถกมรรคที่เป็นประวัติการณ์ครั้งนี้… ในที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว…”
“คลื่นลมทั่วหล้าจะรวมตัวกันที่แคว้นกลางมรรคด้วยเหตุนี้ แค่ไม่รู้ว่าในงานชุมนุมครั้งนี้ จะมีพวกสะดุดตาเฉิดฉายออกมาสักกี่คนกันแน่”
“รอชมก็พอ!”
…
แต่ละพื้นที่ในโลกใหญ่หงเหมิงต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตั้งตาคอยในใจ นี่เป็นถึงงานใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์!
พอจะเดาได้ว่าในงานชุมนุมถกมรรคต้องมียอดอัจฉริยะแห่งยุค วีรบุรุษสะท้านโลกมากมายมาประชันกัน ประลองถกมรรค ลองวัดฝีมือกันอย่างแน่นอน!
โลกใหญ่หงเหมิง ภายในแดนแห่งปริศนาแห่งหนึ่ง หมู่เขาโอบล้อม ร่องรอยคนบางตา
บนทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งแห่งหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ มือถือเบ็ดตกปลา ไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินนิ่งหมื่นกาล
สวบ!
รุ้งวิเศษสายหนึ่งโฉบจากฟากฟ้าไกลมาเยือนโดยพลัน
เงาร่างที่ตกปลานั้นยังคงไม่ไหวติง เบ็ดตกปลาในมือของเขากลับไหวระริกเบาๆ แล้วพันธนาการรุ้งวิเศษสายนั้นเอาไว้ ลากกลับมาหยุดเบื้องหน้า
“นั่งสันโดษบนทะเลสาบน้ำแข็งสามร้อยปี เคี่ยวกรำสภาวะจิตจนบัดนี้ ในที่สุดก็ทำให้ข้ารอถึงโอกาสครั้งนี้จนได้…”
น้ำเสียงต่ำลึกดังขึ้น
ก็เห็นเงาร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนประหนึ่งก้อนศิลานั่นหยัดกายขึ้นเต็มความสูง ยืดคลายเอวคราหนึ่ง
ตูม!
ตรงหน้าเขาผิวทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งพลันแตกเป็นเสี่ยง ชั้นเมฆและห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนพังทลายทันควัน
ชั่วขณะนี้กลิ่นอายเฉียบคมอันน่าสะพรึงไร้สิ้นสุดวูบหนึ่งก็โฉบพุ่งออกมาจากเงาร่างสายนั้น ให้หมู่เขาละแวกนั้นล้วนสั่นไหว หมื่นชีวิตสั่นสะท้าน
เมื่อมองเงาร่างนั้นอีกครา อาภรณ์พัดโบก นัยน์ตาดุจดาบศักดิ์สิทธิ์ กำยำดุจเทพ!
“หมีอู๋หยา หวงฝู่เซ่าหนง หลิงหงจวง… ฮ่าๆ ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่รู้พวกเจ้ายังจำข้าเยวี่ยหรูหั่วได้หรือไม่”
มุมปากของชายหนุ่มยกโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา ก่อนที่เงาร่างจะเลือนหายไปในอากาศ
ตูม!
หลังเขาเลือนหายไป กลางทะเลสาบน้ำแข็งนั่นก็มีสัตว์ยักษ์ดุร้ายที่กลิ่นอายน่าสะพรึงตัวหนึ่งพุ่งพรวดออกมา ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าออกมาคราหนึ่ง บนเกล็ดทั่วตัวปกคลุมด้วยลายมรรคแน่นขัดคลุมเครือ
นี่คือสัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งในแดนแห่งปริศนานี้ มีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ แต่กลับถูกน้ำแข็งผนึกไว้ในที่แห่งนี้สามร้อยปี ถูกกำราบอยู่ภายใต้เบ็ดตกปลาคันหนึ่ง!
…
โลกใหญ่หงเหมิง
“นายน้อย ถึงเวลาแล้ว”
ข้ารับใช้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากพลางก้มศีรษะอย่างเคารพนบนอบ บนพื้นกว้างตรงหน้าเขามีบ่อเลือดที่ควันมารพวยพุ่งบ่อหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์