สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1936 คนเรามีพรากย่อมต้องมีพบเจอ – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 1936 คนเรามีพรากย่อมต้องมีพบเจอ ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ชายวัยกลางคนชุดเขียวกล่าวเสียงนุ่ม “เจ้าลองคิดดู ปีนั้นวีรกรรมที่เขาก่อในแหล่งสถานคุนหลุนใหญ่โตปานใด ทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารายังถูกทำให้สะท้านสะเทือน”
เด็กสาวชุดขาวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านพ่อ ก็เพราะข้าเป็นห่วงพี่หลินสวิน ถึงได้คิดถึงเขามาก”
ชายวัยกลางคนชุดเขียวเอ่ยเสียงขรึม “ปีนั้นยามแหล่งสถานคุนหลุนปิดม่าน บนเส้นทางที่เชื่อมสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราถูกปิดล้อมไว้แน่นหนา แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครพบร่องรอยของเจ้าหนูนี่ หนำซ้ำหลายปีมานี้ในทั่วหล้าฟ้าดาราก็ไม่เคยมีใครเห็นเจ้าหนูนี่มาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้สงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะกลับไปดินแดนรกร้างโบราณอีกครั้งแล้ว”
เด็กสาวชุดขาวอึ้งไป กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านกำลังบอกว่าหากอยากพบพี่หลินสวิน ก็ยังต้องกลับไปดินแดนรกร้างโบราณหรือ เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่ไปตอนนี้เลยเล่า ข้าไม่มีแก่ใจจะไปชมงานชุมนุมถกมรรคนี่หรอก”
ชายวัยกลางคนชุดเขียวยิ้มขื่นกล่าวว่า “เสี่ยวฉง หาใช่เพราะข้ากีดกันเจ้าไม่ให้พบเจ้าหนูนี่ แต่เพราะดินแดนรกร้างโบราณนั่นถูกพลังต้องห้ามปิดครอบนานแล้ว ปีนั้นตอนที่ข้าพาเจ้ากลับจากดินแดนรกร้างโบราณ ยังต้องเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อย”
เด็กสาวชุดขาวทอดถอนใจเนือยๆ กล่าวอย่างท้อแท้ “เช่นนี้เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไรดี”
ชายวัยกลางคนชุดเขียวเพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไร ส่วนลึกกลางนัยน์ตาก็ผุดประกายแปลกประหลาดออกมาพลัน
ฟุ่บ!
เกือบจะในทันที พลังเจตจำนงน่าหวาดกลัวสายหนึ่งก็พุ่งออกจากรถศึกเก้าสวรรค์อย่างไร้สุ้มเสียง แผ่ครอบไปทางยานสมบัติที่พวกหลินสวินอยู่
ร่างของก้วนซวีแข็งทื่อ ขนลุกขนชัน แม้แต่หายใจยังลำบาก
ในใจเขาหวาดผวา
นี่… หรือว่าจะกลิ่นอายเป็นจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร
และพร้อมกันนั้นพวกหลินสวิน ลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวาทั่วร่างต่างไม่เป็นตัวของตัวเองไปพักหนึ่ง ดุจดั่งถูกประมุขสวรรค์จับจ้อง ความลับทั้งภายในและนอกรู้สึกประหนึ่งถูกสอดส่องจนหมดเปลือก
นี่คือ?
พวกเขาต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี
‘ผู้น้อยก้วนซวีสำนักยุทธ์ว่างเปล่าคารวะผู้อาวุโส หากมีจุดล่วงเกินประการใด หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัย’
ก้วนซวีค้อมกายคารวะพลางสื่อจิต
หัวใจของเขาเต้นถี่รัว เหงื่อเม็ดเป้งหลั่งไหล
เขากล้าฟันธงว่าพลังเจตจำนงน่าสะพรึงสายนั้นต้องมาจากจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร นี่เป็นถึงหนึ่งในสามจอมจักรพรรดิมรรคมารฟ้าดาราเชียว!
ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าที่สามารถเทียบกับเจ้าสำนักหกเรือนมรรคใหญ่ได้!
ต่อให้ขาข้างหนึ่งของก้วนซวีเหยียบย่างระดับระดับจักรพรรดิแล้ว ทว่าเวลานี้ยังรู้สึกระส่ำระสาย ประหนึ่งเล็กจ้อยเหมือนมดแมลงตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
‘เจ้าหนุ่มคนแรกที่อยู่ด้านซ้ายของเจ้าชื่อว่าอะไร แล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร’
เสียงสายหนึ่งดังขึ้นในจิตของก้วนซวี แผ่วพลิ้วลอยล่อง ดุงดั่งสัทครรลองมหามรรค แต่กลับมีบารมีสูงส่งอันไร้รูปอย่างหนึ่ง
ก้วนซวีนัยน์ตาหดรัด ยังคงเกร็งหนังศีรษะเอ่ยว่า ‘เรียนผู้อาวุโส คนผู้นี้ชื่อจินตู๋อี อันดับหนึ่งศึกถกมรรคแคว้นเมฆา…’
เสียงสายนั้นร้องอ้อคราหนึ่งก็อันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง
และพร้อมกันนั้น กลิ่นอายน่าสะพรึงที่ปิดครอบบนตัวพวกก้วนซวี ลู่ตู๋ปู้ก็พลอยหายไปด้วย ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง
มีเพียงหลินสวินที่เหมือนมีหนามทิ่มหลัง ร่างกายแข็งทื่อ
เพราะว่ากลิ่นอายน่าสะพรึงสายนั้นเหมือนกับลำแสงแหลมคม กำลังสำรวจทุกอย่างรอบกายเขาตั้งแต่บนลงล่าง ทำเอาเขารู้สึกไร้กำลังประหนึ่งแพะรอโดนเชือดอย่างไรอย่างนั้น
พักใหญ่เสียงสายหนึ่งก็ดังขึ้นในสภาวะจิตของเขา ‘เจ้าหนุ่ม ข้าตั้งตาคอยผลงานในงานชุมนุมถกมรรคของเจ้ายิ่ง’
น้ำเสียงแผ่วพลิ้ว จากนั้นก็เลือนหายไป
หลินสวินอึ้งไป นี่หมายความว่าอย่างไร
เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นรถศึกเก้าสวรรค์นั่นควบทะยานไปไกลๆ ภายใต้การลากจูงของนกปี้ฟางแปดหัวนานแล้ว
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
และพร้อมกันนั้นก้วนซวีก็เอ่ยปากราวกับยกภูเขาออกจากอก ไม่กล้าโอ้เอ้อีก ขับเคลื่อนยานสมบัติมุ่งหน้าต่อไป
…
บนรถศึกเก้าสวรรค์
ชายชุดเขียวกล่าวยิ้มๆ “เสี่ยวฉง พวกเราไม่จำเป็นต้องไปดินแดนรกร้างโบราณแล้ว”
เด็กสาวชุดขาวอึ้งงัน “ทำไมหรือ”
ชายชุดเขียวยืดตัวขึ้นช้าๆ สายตาจับจ้องบุตรสาว “ข้ารับรอง งานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เจ้าต้องไม่ผิดหวังแน่นอน”
เด็กสาวชุดขาวครุ่นคิดพักหนึ่ง นัยน์ตำดำทอประกายวาบ กล่าวอย่างกระโดดโลดเต้น “ท่านพ่อ นี่ท่านคงไม่ได้จะบอกว่าพี่หลินสวินจะปรากฏตัวในงานชุมนุมถกมรรคหรอกกระมัง”
ในใจชายชุดเขียวลอบชื่นชม สมกับเป็นบุตรสาวของข้าซย่าสิงเลี่ย ตาแหลมคมนัก!
“ไปดูสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
เขาหัวเราะลั่นอย่างเบิกบาน
ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายเด็กสาวชุดขาวก็พยักหน้า
…
‘หรือว่าฐานะของข้าถูกมองออกแล้ว’
บนยานสมบัติ ในใจหลินสวินตกใจแกมสงสัยระลอกหนึ่ง
ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดเหตุพลิกผันอะไร ยังพอให้หลินสวินลอบถอนใจโล่งอกอยู่ เมื่อครู่ยามถูกกลิ่นอายจักรพรรดิกระบี่ยอดมารจับจ้อง รสชาตินั้นช่างทรมานถึงขีดสุด
เขาพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ปรากฏยันต์อักษรเขียวมรกตชิ้นหนึ่ง
บนยันต์อักษร ประทับอักษรมรรคที่ผยองถือดีประหนึ่งแข็งแกร่งทรงพลัง…
ซย่า!
คำเดียว กลับเสมือนจอมจักรพรรดิมาเยือนเก้าชั้นฟ้า เจือกลิ่นอายเหยียดหยันโลกหล้า สะท้านสะเทือนแปดทิศอยู่รำไร
ยันต์อักษรชินนี้ เป็นสิ่งที่ซย่าสิงเลี่ยบิดาของซย่าเสี่ยวฉงมอบให้ตอนอยู่ดินแดนรกร้างโบราณ
จนบัดนี้หลินสวินก็ยังไม่ลืมเลือน ครานั้นยามที่ซย่าสิงเลี่ยพาซย่าเสี่ยวฉงจากไป เหยียบย่างก้าวเดียวก็ทะลวงเวิ้งฟ้า เหินจรจากไป
เพียงแค่มองจากไกลๆ พวกหลินสวินก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน
ฟ้าดินแห่งนี้เหมือนแดนเซียนในตำนาน กลางห้วงอากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายมหามรรค สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ยามหายใจไอวิญญาณเข้มข้นจะไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายประหนึ่งน้ำพุหวานล้ำแรกบรรพกาล แผ่กระจายทุกอณูในร่าง ทำให้ผู้คนผ่อนคลายเบาสบาย
ภูเขาเทพแสงเขียว!
ลือกันว่าในตอนแรกฟ้าดินแห่งนี้เป็นแดนแห่งปริศนาแห่งหนึ่ง ต่อมาถูกบรรพจารย์ของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ค้นพบ และยังได้รับมหาสมบัติแรกกำเนิด ‘ศิลามรรคโลกาสวรรค์’ ที่ถือกำเนิดในภูเขาลูกนี้ นับตั้งแต่นั้นเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็เกิดขึ้นมา!
แลนับจากนั้นภูเขาเทพแสงเขียวก็กลายเป็นสถานที่แห่ง ‘เรือนมรรค’ แห่งหนึ่งที่คนทั่วหล้าต่างรู้จัก ดำรงอยู่สืบมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดจนถึงปัจจุบัน
เวลานี้สถานที่ที่พวกหลินสวินอยู่ ตั้งอยู่นอกประตูภูเขาของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ทิวทัศน์ที่มองเห็นในสายตาก็เรียกได้ว่าวิจิตรตระการสุดขีด
“พวกเจ้าตามข้ามา อย่าได้เดินเพ่นพ่านกันเอง”
ก้วนซวีเก็บยานสมบัติแล้วพาพวกหลินสวินทั้งสิบคนโรยตัวลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา มาหยุดอยู่หน้าประตูภูเขาแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีเงาร่างมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ล้วนเหมือนกับพวกหลินสวิน เป็นสิบอันดับแรกที่มาจากแคว้นอื่นๆ ในโลกใหญ่หงเหมิง
“สหายยุทธ์จากแคว้นเมฆาเชิญรออยู่ที่นี่ประเดี๋ยว”
ชายหนุ่มสวมชุดเข้มจากเรือนมรรคโลกาสวรรค์คนหนึ่งกวักมือเรียกจากที่ไกลๆ ท่าทางไม่ดีไม่ร้าย ไม่อ่อนน้อมไม่โอหัง
“ลำบากสหายน้อยนำทางแล้ว”
ก้วนซวีประสานมือคารวะ พาพวกหลินสวินเดินเข้าไป
เขาเป็นถึงเจ้าสำนักสำนักอันดับหนึ่งแคว้นเมฆา ทว่ายามที่เผชิญหน้ากับลูกศิษย์ที่เหมือนคนนำทางคนหนึ่งของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ กลับเผยท่าทีเคารพนบนอบอย่างที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ก็พอจะดูออก ว่าฐานะและบารมีของเรือนมรรคโลกาสวรรค์นั้นโดดเด่นและน่าสะพรึงปานใด
“พวกท่านรอที่นี่สักครู่ รอให้สหายยุทธ์จากสี่สิบแปดแคว้นมากันครบแล้ว ข้าจะจัดแจงที่พักอาศัยให้แก่พวกท่าน”
ชายหนุ่มชุดเข้มกล่าวกำชับประโยคหนึ่งก็รีบเร่งจากไป
หน้าประตูภูเขา ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละแคว้นต่างมองสำรวจกันและกัน พร้อมถกอะไรบางอย่างเสียงเบา
ขณะเดียวกันพวกลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวาก็มองสำรวจคนอื่นๆ ระบุที่มาและฐานะของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอันดับหนึ่งของศึกถกมรรคแต่ละแคว้น ยิ่งได้รับความสนใจจากสายตามากมาย
“ดูสิ คนผู้นั้นน่าจะเป็นจินตู๋อี อันดับหนึ่งศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ลู่ตู๋ปู้ยังถูกเขากดข่มเลย”
“จินตู๋อี ฮึ ชื่อนี้ฟังดูเผด็จการนัก แต่เหตุใดตัวเขากลับดูเหมือนพินอบพิเทายิ่ง”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังขึ้น
สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และสายตาที่พุ่งมาจากสี่ทิศ หลินสวินไม่สนใจสักนิด สภาวะจิตก็ไม่เคยได้รับผลกระทบใดๆ เช่นกัน
จู่ๆ เสียงหัวเราะสดใสสายหนึ่งก็ดังขึ้น “ฮ่าๆ คนเรามีพรากย่อมมีพบเจอ แม่นางเสวียนเยวี่ย พวกเราพบกันอีกแล้ว”
หลินสวินอึ้งไป ทอดสายมามองไป ก็เห็นว่าไม่ไกลออกไปเด็กหนุ่มสวมชุดป่าน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสคนหนึ่งเดินเข้ามาทางนี้
………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์