ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุด!
นี่ก็คือนัยเร้นลับที่เสวียนคงหยั่งถึงตอนที่ควบรวมเขตแดนมรรค
ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุดนี้ ไม่ใช่การกระทำอย่างบุ่มบ่ามเลินเล่อ หากแต่ควบคุมพลังแห่งตนไปสู่จุดสูงสุด!
หลินสวินพึมพำ “ไม่มีสิ่งใดไม่ถึงจุดสูงสุด ดีนัก!”
ผู้บำเพ็ญตน คำนึงถึงมรรคาสามสาย หลอมกาย หลอมปราณ หลอมจิต นี่จึงจะมองเป็นการบำเพ็ญ
นอกจากนี้ยังมีสภาวะจิต เจตจำนง สติปัญญา… หากสามารถสำแดงสิ่งเหล่านี้ไปถึงจุดสูงสุด หลอมผสานเข้าสู่เขตแดนมรรค พลังระดับนั้นจะน่าสะพรึงปานใด
ต่อมาหลินสวินจมอยู่ในภวังค์หยั่งรู้ ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนคล้อยของเวลา
สิบวันต่อมา รุ่งเช้า
“เชิญสหายยุทธ์แคว้นเขียวตามข้ามา”
“เชิญสหายยุทธ์แคว้นยมโลกตามข้ามา”
“เชิญ…”
เสียงสายแล้วสายเล่าดังก้องทั่วทั้งบนล่างของเขาประสานฟ้า
ก็เห็นผู้สืบทอดเรือนมรรคโลกาสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวกลางห้วงอากาศไกลๆ มานำทางผู้แข็งแกร่งแคว้นต่างๆ
เพราะวันนี้ งานชุมนุมถกมรรคจะเริ่มเปิดม่านแล้ว!
ในถ้ำสถิต หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิพลันลืมตาโพลง หยัดตัวลุกขึ้นยืน
‘หยั่งรู้ม้วนหยกที่ศิษย์พี่เสวียนคงทิ้งไว้ ใช้เวลาสิบวันก้าวไปถึงศุภโชคมหามรรคครั้งหนึ่งแล้ว…’
หลินสวินเอามือไพล่หลังเดินออกจากถ้ำสถิต
นอกถ้ำสถิต พวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา หวังถูรวมตัวกันครบก่อนแล้ว
“ไปเถอะ ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ขอเพียงไม่ทิ้งความรู้ให้เสียเปล่าก็เพียงพอแล้ว!”
ก้วนซวีสีหน้าเข้มขรึมเอ่ยกำชับ เขาเป็นเพียงผู้นำทาง หน้าที่ในการเดินทางครั้งนี้จบลงแล้ว ต่อไปก็ต้องอยู่ที่ฝีมือของพวกหลินสวินเองแล้ว
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยดูแลยิ่งนัก!”
พวกหลินสวินประสานหมัดคารวะ
ก้วนซวีแม้จะเป็นเจ้าสำนักสำนักยุทธ์ว่างเปล่า แต่กลับไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างคนในสำนัก คอยดูแลคุ้มกันพวกเขาสุดฝีมือตลอดทาง ทำให้ผู้คนเกิดความเคารพนับถือจากใจ
“ไป!”
ผู้สืบทอดเรือนมรรคโลกาสวรรค์คนหนึ่งที่รับผิดชอบนำทางทะยานขึ้นฟ้า พาพวกหลินสวินเหินทะยานไกลออกไป
‘พี่จิน ข้าได้ยินมาว่างานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้จะเริ่มขึ้นใน ‘แดนลับโลกาสวรรค์’ หลังการแข่งขัน สุดท้ายมีเพียงหนึ่งร้อยแปดคนเท่านั้นที่ผ่านเข้ารอบ คนอื่นๆ จะถูกคัดออก ไร้วาสนาไปแย่งชิงศุภโชคในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ’
ระหว่างทางจู่ๆ ลู่ตู๋ปู้ก็สื่อจิตบอกหลินสวิน ‘ข้ากับเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ซูมู่หาน เหลิ่งซิวเจียล้วนหารือกันแล้ว หลังจากเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ก็จะร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ไม่ทราบพี่จินกับแม่นางเสวียนเยวี่ยสนใจร่วมด้วยหรือไม่’
หลินสวินอึ้งไป ไม่ได้ตอบสนองทันที หากแต่กล่าวอย่างไตร่ตรอง ‘อู่หวง เถิงอี๋เฉิน กุยซานสิงสามคนนั้นล่ะ’
ลู่ตู๋ปู้กล่าว ‘พวกอู่หวงร่วมมือกันสามคนแล้ว’
หลินสวินกล่าว ‘เอาอย่างนี้แล้วกัน รอเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ หากมีโอกาสร่วมมือกัน ข้ากับแม่นางเสวี่ยนเยวี่ยย่อมไม่ปฏิเสธแน่’
ลู่ตู๋ปู้กล่าวพยักหน้าเนิบๆ ‘เช่นนี้ดีที่สุด’
ในขณะสนทนา พวกหลินสวินก็มาอยู่เหนือยอดเขางามวิจิตรเก่าแก่ลูกหนึ่งแล้ว โรยตัวลงบนที่ราบอย่างแผ่วพลิ้ว
“เยอะมากจริงๆ”
หวังถูมองดูรอบบริเวณ ละแวกที่ราบมีเงาร่างนับร้อยนับพันรวมตัวกันอยู่
ในจำนวนนี้ผู้แข็งแกร่งจากแคว้นอื่นถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน พวกร้ายกาจจากโลกอื่นในฟ้าดาราก็กระจายตัวอยู่ในพื้นที่แถบเดียวกัน
นอกจากนี้ ผู้แข็งแกร่งจากแคว้นกลางมรรคอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่หนึ่ง
ดุจดั่งเตากระถางสามขา
ตอนที่พวกหลินสวินมาถึงก็เรียกสายตาสนใจไม่น้อยเช่นกัน
“ดูสิ เจ้าหมอนั่นก็คือจินตู๋อี สิบวันก่อนตอนมาถึงภูเขาเทพแสงเขียว เคยทำให้ข่งเจาเสียท่านิดๆ ด้วย”
“ดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”
“นี่ต่างหากที่เรียกว่าคมในฝัก”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่างห้อมล้อมหลินสวิน แม้แต่พวกปีศาจจากโลกอื่นในฟ้าดาราและผู้สืบทอดหกเรือนมรรคใหญ่ก็ยังมองไปยังหลินสวินไม่น้อย
ข่งเจาเป็นถึงอันดับห้าในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารานานแล้ว แต่เมื่อสิบวันก่อนกลับถูกหลินสวินโจมตีบาดเจ็บ แม้จะบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ก็ยังเรียกความสนใจได้มากอยู่ดี
และเพราะเหตุนี้ ตอนที่เห็นหลินสวินปรากฏตัวถึงได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และดึงดูดความสนใจขึ้นมา
“เฮอะ!”
ฝั่งที่เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ยืนอยู่ ข่งเจาสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง ในใจมีความโกรธกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินยิ่งถูกคนให้ความสนใจ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกขายหน้ามากเท่านั้น!
‘ไอ้หนู รสชาติที่ถูกคนให้ความสนใจซาบซ่านมากใช่หรือไม่ เจ้าวางใจได้ รอเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่!’
เขาสื่อจิตเสียงเย็น ไม่ปกปิดไอสังหารของตนสักนิด
หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ ลวไม่ได้สนใจอีก
‘จินตู๋อี พวกเราพบกันอีกแล้ว’
ไม่นานก็มีคนสื่อจิตอีกครั้ง
หลินสวินเหลือบตามองไป ก็เห็นฝั่งเรือนมรรคจักรวาล จวนอวี๋เหิงที่สวมอาภรณ์ม่วงทั้งตัว เงาร่างสูงกำยำมองมา
จวนอวี๋เหิงสีหน้าเรียบเฉย มองอารมณ์ไม่ออก กล่าวว่า ‘ครั้งก่อนในสำนักยุทธ์เสวียนจีแคว้นเมฆา ข้าเสียสมบัติชิ้นหนึ่งให้เจ้า ครั้งนี้ข้าอยากเอากลับคืนมาสามชิ้น’
หลินสวินมีภาพจำต่อคนผู้นี้ไม่เลวทีเดียว กล้าได้กล้าเสีย เปิดเผยตรงไปตรงมา แม้จะเป็นศัตรู ก็เป็นศัตรูที่ควรค่าให้ความเคารพอย่างยิ่งคนหนึ่ง
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งกล่าวว่า ‘ข้าให้โอกาสเจ้าได้ แต่หากยังแพ้อีกก็อย่ามาตอแยข้าอีกเลย’
จวนอวี๋เหิงสีหน้าแข็งค้าง ปากเจ้าหมอนี่ช่างคมกริบเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์