ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวฮึดฮัด แทบทนไม่ไหวอยากกัดบิดาที่ไม่เอาจริงเอาจังคนนี้ของตนสักที
ซย่าสิงเลี่ยกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่าจินตู๋อีนั่นก็ไม่เลวทีเดียว เจ้าลองฟังชื่อดูสิ เป็นหนึ่งไม่มีสอง อหังการจะตาย”
เห็นว่าซย่าเสี่ยวฉงโมโหจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ซย่าสิงเลี่ยก็ไม่กล้าหยอกเล่นอีก รีบกล่าวเป็นพัลวัน “เอาล่ะๆ ก่อนหน้านี้พ่อล้อเจ้าเล่น”
ซย่าเสี่ยวฉงกะพริบตาละห้อยกล่าวว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านก็ควรบอกข้าหน่อยสิ ว่าพี่หลินสวินอยู่หรือไม่อยู่ในงานชุมนุมถกมรรคนี้”
“อยู่”
ซย่าสิงเลี่ยตอบโดยไม่ลังเล
ดวงตาดำสนิทสุกใสของซย่าเสี่ยวฉงพลันทอประกายวาวขึ้นมาทันที ทั้งตัวเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายน่าทึ่งออกมาทันใด กล่าวว่า “เขาอยู่ไหน”
ในใจซย่าสิงเลี่ยนึกเขม่นอีกระลอก นางหนูคนนี้ลุ่มหลงจนขาดสติไปแล้วหรือ เหตุใดจึงเอาแต่คิดถึงคะนึงหาแต่เจ้าหมอนั่น
นี่จะให้จักรพรรดิกระบี่ยอดมารผู้สูงสง่าอย่างเขารับไหวอย่างไรกัน
“รอตอนงานชุมนุมถกมรรคปิดม่าน เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เนิ่นนานซย่าสิงเลี่ยค่อยกล่าวอย่างหมดเรี่ยวแรง
แม้จะเป็นเช่นนี้ซย่าเสี่ยวฉงก็พอใจมากแล้ว นางเงยใบหน้าน้อย จับจ้องม่านแสงที่แสดงภาพในแดนลับโลกาสวรรค์ กล่าวด้วยความใฝ่ปรารถนาเต็มอก “รอให้พบพี่หลินสวิน ข้าจะเชิญเขาไปเป็นแขกที่ตำหนักมหามรรคเก้าฟ้าของพวกเราให้ได้…”
ซย่าสิงเลี่ยอึ้งไป ยิ่งหมดเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ ‘สุราแสงเทพ’ ที่ท่านเก็บไว้ไม่ใช่ว่ายังมีอยู่ขวดหนึ่งหรือ ถึงตอนนั้นข้าจะเอามารับรองพี่หลินสวิน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้มุมปากซย่าสิงเลี่ยกระตุกแรงๆ คราหนึ่งแล้ว นางเด็กสมควรตายนี่ เพื่อเจ้าหนุ่มนั่น ถึงขั้นเริ่มวางแผนถลุงสมบัติก้นกรุของข้าซะแล้ว!
นี่ช่าง…
บุตรสาวใช้การไม่ได้จริงๆ…
ซย่าสิงเลี่ยปวดจิตระทมใจ เศร้าโศกสารพัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายหน้าจะทำอย่างไรดีเล่า
…
แดนลับโลกาสวรรค์
หลินสวินรู้สึกเพียงว่าฟ้าหมุนดินเคลื่อนระลอกหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป จากนั้นก็ปรากฏตัวในหุบเขาแห่งหนึ่ง
สวบ!
ดาบหักพุ่งโฉบออกมาฉับพลัน เคลื่อนรอบตัวหลินสวิน สำรวจทุกซอกอย่างรอบคอบ หลังจากสัมผัสได้ว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงค่อยผ่อนคลายลงไม่น้อย
เขาพลิกฝ่ามือ ก็มียันต์หยกชิ้นหนึ่งปรากฏเพิ่มขึ้นมา ทำมาจากกระดูกสัตว์สีเขียวน่าพิศวงชนิดหนึ่ง บนนั้นประทับลวดลายมหามรรคที่เหมือนไส้เดือนไม่มีผิด
นี่ก็คือยันต์ชีวิต
หากหายไป ก็หมายความว่าถูกคัดออกจากการแข่งขัน!
หลินสวินเก็บยันต์ชีวิตไว้ ไม่ได้รีบร้อนเคลื่อนไหว บริเวณใกล้เคียงหุบเขาแถบนี้มีเพียงเขาคนเดียว อย่างน้อยก็ยังปลอดภัยไปอีกระยะหนึ่ง
‘ยิ่งได้ยันต์มามาก ก็หมายความการเข่นฆ่าที่ต้องพบเจอยิ่งมีมาก ข้าไม่ฆ่าคนอื่น คนอื่นต้องฆ่าข้า…’
หลินสวินใคร่ครวญ หากหนึ่งต่อหนึ่ง เขาไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งนั้น แต่พวกที่หาพันธมิตรร่วมกันเคลื่อนไหวเหมือนอย่างพวกลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวาต้องมีไม่น้อยเป็นแน่
นี่ทำให้หลินสวินเองก็ไม่อาจไม่ระวังตัว
โดยเฉพาะคนอย่างพวกหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนงพวกนี้ หากเป็นพันธมิตรร่วมมือกันเคลื่อนไหว นั่นย่อมเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งแน่นอน
เนิ่นนานหลินสวินก็ตัดสิน
เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เริ่มเคลื่อนไหวในหุบเขาแถบนี้
ธงกระบวนที่เขาพกติดตัวมาหลายด้ามโปรยปรายดุจสายน้ำไหล เสียบเข้าไปในพื้นที่แตกต่างกันของหุบเขา
ครู่ใหญ่กระบวนผนึกลายมรรคแห่งหนึ่งพลันก่อตัวขึ้น
“เร้น!”
เมื่อหลินสวินทำมุทรา กระบวนผนึกที่คลุมเครือแปลกพิสดารแห่งนี้พลันหายวับไปเงียบๆ อันตรธานหายไปจากฟ้าดิน
‘กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีสามโพรง นับประสาอะไรกับคน’
หลินสวินปัดมือเบาๆ ลอบกล่าวในใจ ‘ต่อให้เกิดอันตราย อย่างน้อยก็มีสถานที่ให้พอหลบภัยได้’
ในแดนลับโลกาสวรรค์นี้ สำหรับหลินสวินสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่คู่ต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน หากแต่เป็นการได้รับบาดเจ็บระหว่างโรมรันต่อสู้
หากบาดเจ็บ ต่อให้แข็งแกร่งระดับพวกหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนง เกรงว่าก็คงถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องเป็นแน่!
ถึงอย่างไรผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ได้แทบจะเป็นพวกชั้นยอดในหมู่ระดับมกุฎราชันอริยะ แต่ละคนล้วนเป็นพวกทรงอิทธิพล มีปราณเหนือขั้นสมบูรณ์ในระดับนี้กันแล้วทั้งนั้น ความแตกต่างของพลังต่อสู้ระหว่างกันไม่ได้มากนัก
ระหว่างบุคคลระดับนี้ หากต่างฝ่ายต่างร่วมมือกัน จับมือร่วมกันเคลื่อนไหวอีก แค่คิดก็รู้ว่าภัยคุกคามนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน
หลินสวินวางกระบวนผนึกในบริเวณนี้ก็เป็นการป้องกันภัยล่วงหน้า เพื่อเลี่ยงไม่ให้ยามประสบสถานการณ์อันตรายอะไร จะได้ไม่ต้องถูกฆ่าจนไม่มีที่ให้หลบ
‘จากนี้ต้องรีบรวมตัวกับเสวียนเยวี่ย หากร่วมเคลื่อนไหวพร้อมกับพวกลู่ตู๋ปู้ได้ ก็เป็นวิธีที่มั่นคงทีเดียว…’
‘ไม่ว่าอย่างไรการเคลื่อนไหวถัดไปก็ต้องระมัดระวังตัว หากบังเอิญพบคู่ต่อสู้ ฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็รีบเผ่นหนี…’
ขณะคิดพิจารณา เงาร่างหลินสวินพลันโฉบวูบพุ่งไปยังบริเวณไกลๆ
บนยอดเขาหลักโลกาสวรรค์ ระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มอย่างพวกไท่ซูหงต่างให้ความสนใจการเคลื่อนไหวในแดนลับโลกาสวรรค์
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าผู้สืบทอดของตนไม่ธรรมดา ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แต่หลังจากสังเกตโดยละเอียดแล้ว พวกเขาต่างพบว่า… ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ แต่ละคนล้วนฉลาดจัดจ้าดเป็นที่สุด ล้วนมีฝีมือน่าเหลือเชื่อมากมาย ไม่ว่าคนไหนก็ไม่น่าหาเรื่อง
เช่นหลังเข้าสู่แดนลับโลกาสวรรค์ ก็มีคนเรียกหุ่นกระบอกกลุ่มหนึ่งออกมา กระจายตัวกันช่วยเบิกทางทันที
มีคนเงาร่างแปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นทรายตลบฟ้า อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บ้างก็ควบคุมแมลงพิษที่ดุจดั่งน้ำไหลเชี่ยวกรากออกมา…
“ตอนนี้คนหนุ่มสาวเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าพวกเราในปีนั้นมากโขแล้ว แต่ละคนฝีมือเด็ดๆ ทั้งนั้น”
มีระดับจักรพรรดิหัวเราะพลางทอดถอนใจ
“เส้นทางแห่งมหามรรคย่อมเป็นคนรุ่นใหม่ชนะคนเก่าอยู่แล้ว เจ้าดูสิ ถึงกับยังมีคนกลายร่างเป็นลำธารสายหนึ่ง ผสานเข้าไปในฟ้าดินของแดนลับโลกาสวรรค์ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์