Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1969

สรุปบท ตอนที่ 1969 ศิษย์พี่ใหญ่กับเรือนมรรคคืนกำเนิด: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1969 ศิษย์พี่ใหญ่กับเรือนมรรคคืนกำเนิด – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1969 ศิษย์พี่ใหญ่กับเรือนมรรคคืนกำเนิด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 1969 ศิษย์พี่ใหญ่กับเรือนมรรคคืนกำเนิด
“ศิษย์น้อง มารู้จักกันใหม่เสียหน่อย ข้าชื่อรั่วซู่ อยู่ลำดับสามในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเรา ถูกอาจารย์รับเข้าสำนัก และเริ่มฝึกปราณแสวงมรรคราวปีดึกดำบรรพ์ที่หนึ่งหมื่นสี่พัน”

รั่วซู่ยิ้มละไม เสียงใสกระจ่าง มีพลังอันแปลกประหลาดทำให้จิตใจหลินสวินสงบราบเรียบได้ในทันที ร่างกายผ่อนคลายไปหมด

“หลินสวิน คารวะศิษย์พี่สาม”

หลินสวินคารวะอย่างตั้งใจ

ผู้หญิงตรงหน้าผ่องแผ้วนุ่มนวล อ้อนแอ้นอรชรดั่งสายธารใสสะอาด ให้ความรู้สึกสงบศักดิ์สิทธิ์ไม่แก่งแย่งกับโลก

ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นภาพที่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถูกทำร้าย ใครจะกล้าเชื่อว่าผู้หญิงเช่นนี้จะเป็นบุคคลน่ากลัว ที่เหยียบย่างธรณีประตูของระดับจักรพรรดิเก้าชั้นตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ผู้หนึ่งกัน

และนาง…

ก็เป็นศิษย์พี่ของตน!

“ไม่ต้องเกร็งไป ข้าเคยได้ยินเสวียนเวยพูดถึงเจ้า และยังได้ยินจวินหวนเอ่ยถึงด้วย ขนาดคนซื่อๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอย่างศิษย์น้องผู่เจินยังชมเจ้าไม่ขาดปาก”

รั่วซู่ยิ้มเอ่ย “คราวนี้ข้าได้เห็นกับตาตัวเองถึงพบว่าศิษย์น้องเก่งกาจยิ่งกว่าที่พวกเขาพูดเสียอีก อยู่ในระดับมกุฎราชันอริยะก็หลอมมรรควิถีของตัวถึงจุดสูงสุดแล้ว อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าข้าในตอนนั้นมาก”

หลินสวินถูกยอจนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างแล้ว “ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้เก่งอย่างที่ท่านว่า”

รั่วซู่ยิ้มน้อยๆ เริ่มพูดเข้าเรื่องกับหลินสวิน

“ศิษย์น้อง ข้ามาคราวนี้มีเพียงเป้าหมายเดียวก็คือคุ้มครองเจ้า ทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั้นได้”

“ศิษย์น้องเสวียนเวยน่าจะเคยบอกเจ้าว่าศิษย์น้องจวินหวนเคยเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ คราวก่อนนางคว้าน้ำเหลวกลับมา เป็นเพราะมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นยังไม่ได้เวลาปรากฏสู่โลก จังหวะไม่ได้”

“แต่คราวนี้ต่างกัน สมบัติชิ้นนั้นถือกำเนิดขึ้นบนโลกแล้ว จังหวะมาแล้ว”

พอพูดถึงตรงนี้รั่วซู่เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ดังนั้นข้าหวังว่า ศิษย์น้องไปคราวนี้จะทุ่มเทพลังทั้งหมดชิงสมบัตินี้มาครองให้ได้”

“เพราะถ้าครอบครองสมบัติชิ้นนี้ได้ วิญญาณเร่ร่อนอย่างพวกเราคีรีดวงกมลจะได้สร้างสำนักขึ้นใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องลำบากเร่ร่อนไปในโลกอีก”

พูดถึงช่วงท้ายเสียงก็เจือความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากปิดบัง

หลินสวินสะท้านในใจ

หลังศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ สำนักคีรีดวงกมลก็ถูกทำลาย ภูเขาสำนักพังถล่ม ตั้งแต่นั้นมาผู้สืบทอดในสำนักก็กระจัดกระจายอยู่ภายนอก ถูกมองเป็นผีเร่ร่อน

และเมื่อได้ยินคำพูดของรั่วซู่ หลินสวินจึงตระหนักได้ถึงความสำคัญของการไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้!

ที่แท้ขอเพียงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นมาได้ ก็จะสร้างคีรีดวงกมลได้อีกครั้ง!

หลินสวินพูด “ศิษย์พี่ สมบัติชิ้นเดียวเท่านั้น… จะมีพลังเช่นนี้จริงหรือ”

รั่วซู่เอ่ย “มหาสมบัติแรกกำเนิดไม่ใช่ของธรรมดาสามัญ หลายวันก่อนมีกลิ่นอายเคราะห์ต้องห้ามปรากฏขึ้น แต่ไม่นานนักก็ถูกกำบังเอาไว้”

“และสิ่งที่กำบังเคราะห์ต้องห้ามนี้ไว้ ก็คือพลังของศิลามรรคโลกาสวรรค์”

“เจ้าก็รู้ ศิลามรรคโลกาสวรรค์ก็เป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดที่ถือกำเนิดขึ้นในแดนปริศนาชิ้นหนึ่งเช่นกัน”

“ถ้าศิษย์น้องไปคราวนี้ ชิงเอาสมบัติทำนองนี้มาได้สักชิ้น ตอนพวกเราสร้างสำนักอีกครั้ง ก็จะอาศัยพลังของสมบัตินี้สกัดกั้นกลิ่นอายต้องห้ามที่มาจากระเบียบมหามรรคได้”

พอฟังจบหลินสวินถึงเข้าใจ

ขออภัยที่ลงช้าจ้าแอดรินติดธุระ

ในขณะเดียวกันในใจเขาก็ปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง เพียงแค่สร้างคีรีดวงกมลใหม่เท่านั้น เหตุใดถึงชักนำกลิ่นอายเคราะห์ต้องห้ามมาด้วย

เขาถามข้อสงสัยออกมา

รั่วซู่ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง รอเมื่อเจ้าเหยียบย่างระดับจักรพรรดิก็จะเข้าใจเอง พลังต้องห้ามที่เกิดขึ้นในระเบียบมหามรรคทั่วหล้านี้ ที่จริงแล้วก็ถูกคนควบคุมและนำมาใช้”

“ตอนที่คีรีดวงกมลของพวกเราพ่ายแพ้ในศึกระหว่างสำนัก ไม่ได้แพ้ให้ขุมอำนาจอื่น แต่แพ้เพราะพลังต้องห้ามมหามรรคนั้น”

หลินสวินอึ้งไป

เขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือพลังต้องห้ามในระเบียบมหามรรค

แต่กลับรู้ว่าท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างโบราณเคยมีสามด่านเคราะห์ต้องห้าม และผู้เป็นนายของสามด่านเคราะห์ต้องห้ามก็คือพลังเจตจำนงของยอดคนผู้หนึ่ง!

ชายหนุ่มจักจั่นทองที่เคยจำศีลในป่าต้นหม่อนมาไม่รู้นานเท่าไร มองยอดคนผู้นี้เป็น ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ บอกว่าบุคคลเช่นนี้มีนามต้องห้ามดั่งมรรค ไม่อาจเอื้อนเอ่ยแพร่งพราย เป็นนายเหนือระดับจักรพรรดิ!

แม้แต่ใน ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ ที่ปะทุขึ้นตอนยุคดึกดำบรรพ์ปิดฉากลง ก็ยังมีเงาของจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้ด้วย

เช่นเดียวกัน พลังด่านเคราะห์ที่ทำให้อริยสงฆ์ตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬสิ้นชีพ ก็มาจากจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้

“ศิษย์พี่ ท่านดูสิ่งนี้”

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ใจไหววูบ หยิบไม้โพธิ์เหี่ยวแห้งท่อนหนึ่งออกมา พลังเคราะห์ต้องห้ามที่ผนึกอยู่ในนี้ก็คือตัวการที่สังหารอริยสงฆ์ตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬ

สิ่งนี้หลินสวินพกติดตัวมาหลายปีแล้ว

ดวงตารั่วซู่ปรากฏแววประหลาด ปลายนิ้วชี้บนที่ไม้โพธิ์เหี่ยวแห้งนั้นเบาๆ

ฟุ่บ!

กลิ่นอายด่านเคราะห์ต้องห้ามสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมา ประหนึ่งสายฟ้าสีทองแปลกตา แผ่กลิ่นอายทำลายล้างน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบออกมา

หลินสวินกล่าวอย่างคล้ายขบคิด “ศิษย์พี่ พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม้โพธิ์นี้สามารถผนึกหรือกำบังกลิ่นอายต้องห้ามได้ คล้ายกับมหาสมบัติแรกกำเนิดหรือ”

รั่วซู่อมยิ้มพยักหน้า “ใช่แล้ว น่าเสียดายไม้โพธิ์นี้ของเจ้าเป็นแค่ท่อนเล็กๆ ถ้าเป็นต้นสมบูรณ์ใหญ่เทียมฟ้า เช่นนั้นก็เยี่ยมยอดนัก ล้ำค่ากว่าศิลามรรคโลกาสวรรค์ของเรือนมรรคโลกาสวรรค์เสียอีก อีกทั้งมหาสมบัติแรกกำเนิดทั่วๆ ไปยังเทียบไม่ได้ด้วย”

หลินสวินสูดหายใจสะท้าน ล้ำค่ากว่าศิลามรรคโลกาสวรรค์ คิดดูก็ให้ใจสั่นนัก! หากภายหน้ามีโอกาส จะต้องทำให้ไม้โพธิ์นี้มีชีวิตกลับมาให้ได้!

รั่วซู่เหลือบมองยอดเขาหลักโลกาสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง มีเวลาไม่มาก ในใจเจ้ายังสงสัยเรื่องอื่นหรือไม่”

หลินสวินข่มความสงสัยหนึ่งไว้ในใจมานานแล้ว จึงถามออกไปทันทีว่า “ศิษย์พี่ ตกลงคีรีดวงกมลของพวกเรากับเรือนมรรคคืนกำเนิดเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

รั่วซู่เงียบไปแล้วเอ่ยว่า “ก็รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้”

นางคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คืนกำเนิด หมายถึงรับใต้หล้ากลับสู่แหล่งกำเนิด เรือนมรรคนี้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเราก่อตั้งขึ้นคนเดียวตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์”

เสียงเจือการหวนถึงความหลัง ทั้งยังทอดถอนใจ

ด้านหลินสวินเพียงรู้สึกว่าเกิดเสียงวิ้งในสมอง ในใจปั่นป่วนดั่งแม่น้ำพลิกทะเลคว่ำไปครู่หนึ่ง

ศิษย์พี่ใหญ่!

ศิษย์พี่ใหญ่ก่อตั้งเรือนมรรคแห่งหนึ่งขึ้นคนเดียว!

นี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่กล้าจินตนาการ เหลือเชื่อเกินไป ทั้งยังชวนสะท้านนัก!

ก็เห็นว่ารั่วซู่เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนั้นดื้อรั้นคุมไม่อยู่ หยิ่งผยองทะลุเมฆา คุยโตว่าจะบุกเบิกสำนักแห่งหนึ่ง ต้องการพิสูจน์กับอาจารย์ว่าไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง เรือนมรรคคืนกำเนิดจะเป็นสำนักที่ไม่ด้อยไปกว่าคีรีดวงกมล!”

“ตอนนั้นคีรีดวงกมลของพวกเรามีผู้สืบทอดเพียงเก้าคน ข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นต่างรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่บ้าไปแล้ว จะต้องถูกอาจารย์ตำหนิด่าว่าว่าเขาทรยศสำนัก ถึงกับเป็นไปได้สูงที่จะขับศิษย์พี่ใหญ่ออกจากสำนัก”

“ถึงอย่างไรตอนนั้นด้วยฐานะของศิษย์พี่ใหญ่ จะไปบุกเบิกสำนักสักแห่งหนึ่งก็เท่ากับแยกตัวไปตั้งเอง แต่นี่เป็นถึงเรื่องต้องห้ามของทุกสำนักในใต้หล้า”

“ทว่าใครจะคิดว่าหลังอาจารย์รู้เรื่องนี้เข้า ไม่เพียงไม่โกรธ กลับอนุญาตให้ศิษย์พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ด้วย บอกว่าศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้ หวังว่าจะมีสักวันที่ผู้สืบทอดในคีรีดวงกมลจะเก่งกาจกว่าอาจารย์… เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อสิ่งที่ร่ำเรียนมา”

เนตรกระจ่างของรั่วซู่ปรากฏแววประหลาด เสียงเจือความเคารพและหวนคะนึง

ในใจหลินสวินก็เกิดคลื่นถั่งโถม สงบใจได้ยากเช่นกัน

ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้!

ประโยคเดียว เห็นได้ว่าน้ำใจและความห้าวหาญของท่านอาจารย์ยิ่งใหญ่แค่ไหน!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์