Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1972

ตอนที่ 1972 การชิงชัยทั่วหล้า กระแสคลื่นลับพลุ่งพล่าน
ฝนตกพรำๆ ลมพัดโชยไหว ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม

อาภรณ์ภิกษุเฒ่าถูกหยาดฝนเปียกชุ่ม กลับไม่รู้สึกตัวสักนิด จดจ่อสมาธิอยู่กับหมากกระดานตรงหน้า

ผู้ที่ประชันหมากกับเขาเป็นบุรุษที่สวมเกี้ยวประดับดอกบัวบนศีรษะ อาภรณ์สีดำ หน้าตาราวเด็กหนุ่ม แต่แววตากลับเจือกลิ่นอายโชกโชนไร้สิ้นสุดคนหนึ่ง

“ในโลกมืด แดนกษิติครรภ์ของเจ้าและสำนักโบราณจรัสเทพของข้าล้วนเข้าร่วมการประชันหมากกระดานนี้ มีแค่หอวิหคทองแดงนั่นที่การเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี สหายยุทธ์ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ”

เด็กหนุ่มชุดดำเกี้ยวประดับดอกบัวคีบหมากสีขาวในมือ พลางกล่าวเนิบนาบ

“ไม่แปลก”

ภิกษุเฒ่าเอ่ย “ไม่มีการเคลื่อนไหวก็คือการเคลื่อนไหวที่ใหญ่ที่สุด กระดานนี้เกี่ยวโยงถึงมหาสมบัติแรกกำเนิดที่อัศจรรย์หาใดเปรียบชิ้นหนึ่ง ด้วยวิธีการของหอวิหคทองแดง คงไม่วางตัวอยู่วงนอกแน่”

เด็กหนุ่มชุดดำสวมเกี้ยวประดับดอกบัวกล่าวยิ้มๆ “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

นิ่งเงียบประชันหมากอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ ภิกษุเฒ่าก็พูดขึ้น “ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่า เจ้าจินตู๋อีนี่ก็คือหมากตัวหนึ่งที่คีรีดวงกมลแทรกสอดเข้ามา สหายยุทธ์คิดว่า ถึงตอนนั้นพวกวิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยทั่วหล้าทุกสารทิศเหล่านั้น… จะกล้าปรากฏตัวหรือไม่”

เด็กหนุ่มชุดดำเกี้ยวประดับดอกบัวอึ้งไป กล่าวยิ้มๆ “สหายยุทธ์ เจ้าพูดผิดแล้ว จินตู๋อีนั่นเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด สถานะของเขาได้รับการยอมรับจากชิงเย่แล้ว”

ภิกษุเฒ่าเหลือบตาขึ้น มองคนที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่อันที่จริงเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์ที่ปกครองสำนักโบราณจรัสเทพมาไม่รู้กี่กาลเวลา กล่าวว่า “เรื่องนี้ตบตาคนอื่นได้ แต่ตบตา ‘บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวี’ อย่างเจ้าไม่ได้แน่นอน”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวี!

ฉายานี้ หากถูกผู้ฝึกปราณในโลกมืดได้ยินเข้าย่อมต้องขวัญหนีดีฝ่อ เกิดความหวาดกลัวไม่รู้จบสิ้นอย่างแน่นอน

เด็กหนุ่มชุดดำเกี้ยวประดับดอกบัวยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “สหายยุทธ์ ไยต้องถือสากิ่งก้อยพวกนี้ด้วย ไม่ว่าเรือนมรรคคืนกำเนิดหรือคีรีดวงกมลล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ ควรวางหมากกระดานนี้อย่างไร จึงจะทำให้ชนะในท้ายที่สุด”

ภิกษุเฒ่านิ่งเงียบครู่หนึ่ง กล่าวว่า “บนล่างทั่วหล้าล้วนต้องต่อสู้ หมากกระดานนี้… เดินไม่ง่ายนัก”

“เช่นนั้นก็ดูว่าท้ายที่สุดใครจะเอาชนะกระดานนี้ได้”

เด็กหนุ่มชุดดำเกี้ยวประดับดอกบัวยิ้มอย่างเก็บงำล้ำลึก

ภิกษุเฒ่าฉายาธรรม ‘เนี่ยคง’ ควบคุมดูแลแดนกษิติครรภ์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ตราบจนบัดนี้ มรรควิถีลุ่มลึกสุดหยั่ง

โลกมืดขนานนามเขาว่า ‘บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคง’!

“ชิงเย่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ปิดด่านอยู่ในประตูภูเขาแล้วกัน”

เรือนมรรคโลกาสวรรค์ ส่วนลึกของเขตหวงห้าม เสียงราบเรียบสายหนึ่งเอ่ยขึ้น

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่มุ่นคิ้ว “ทำไม”

“เฮ้อ เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ การไปเขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้มีการเกี่ยวพันจากหลายฝ่าย กระแสคลื่นลับใต้หล้าทั้งบนล่างโหมกระหน่ำ หากไม่ผิดคาด สามเดือนให้หลังต้องมีคลื่นลมใหญ่เกิดขึ้นแน่”

เสียงนั้นทอดถอนใจ “พวกเราก็มีศิลามรรคโลกาสวรรค์แล้ว ยังจะไปขวนขวายมหาสมบัติแรกกำเนิดอีกชิ้นทำไมกัน”

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องให้ข้าปิดด่านด้วยล่ะ”

หัวคิ้วบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ยิ่งขมวดมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังนิ่งเงียบอยู่นาน เสียงสายนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า เจ้าจินตู๋อีนี่ได้กลายเป็นตาพายุไปนานแล้ว ยามเมื่อการเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดม่านลง ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะสามารถชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดนั่นได้หรือไม่ ล้วนไม่สำคัญแล้ว”

นัยน์ตาบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่หรี่ลง เดาอะไรได้รางๆ กล่าวว่า “มีคนจะต่อกรกับเรือนมรรคคืนกำเนิดหรือ”

“ทั้งถูกและไม่ถูก มูลเหตุในนั้น สามเดือนให้หลังเดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเอง”

เสียงสายนั้นเจือแววเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก “จำเอาไว้ คลื่นลมในครั้งนี้ พวกเราเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ต้องวางตัวเป็นกลางเอาไว้เช่นกัน ห้ามแทรกแซงเด็ดขาด หาไม่ ต้องมีหายนะร้ายแรงอย่างแน่นอน”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่นิ่งเงียบไป

ในใจเขาพอจะมีสังหรณ์ไว้แล้ว การเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ภายนอกอาจมีเพื่อมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น แต่ขณะเดียวกัน ก็มีเงาตะคุ่มใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่งเข้ามาฉวยโอกาสด้วย!

เพียงแต่บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่คิดไม่ตก เหตุใด…

ต้องเล่นงานเรือนมรรคคืนกำเนิด?

หรือว่า ‘ศึกระหว่างสำนัก’ ที่เคยปะทุขึ้นในสมัยดึกดำบรรพ์และสมัยบรรพกาล จะหวนกลับมาอีกครั้งในยุคสมัยนี้

ครั้งก่อนสำนักคีรีดวงกมลถูกทำลาย

ครั้งนี้ เรือนมรรคคืนกำเนิดก็จะประสบเคราะห์หรือ

คิดถึงตรงนี้ ในใจบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่พลันไหวสั่นขึ้นมา

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ริมฝีปากเขาเอ่ยเอื้อนสี่คำออกมาเบาๆ ก่อนหมุนตัวกลับสู่สถานที่ฝึกจิตของตน

“คลื่นลมใกล้เข้ามาแล้ว…”

บนหน้าผาชันของยอดเขาที่ตั้งโดดบริเวณริมฝั่งทะเลลูกหนึ่ง หญิงสวมกระโปรงประดับลายเมฆกุหลาบสีชมพูคนหนึ่งทอดมองทะเลที่อยู่ไกลโพ้นอย่างเงียบๆ

ผมยาวดำเงางามทั่วศีรษะของนางถูกปักด้วยปิ่นเล่มหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าเลอโฉมที่งามกลึงเกลาจนฟ้าดินหม่นแสง

นางรูปร่างสูงเพรียว ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดอ่อนราวหยกมันแพะ นัยน์ตาเรียวชี้ขึ้นดั่งหงส์ที่เจือแววเจ้าสำราญโดยธรรมชาติสุกใสดุจดวงดารา ยืนสบายๆ ท่วงท่าที่เปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น งดงามจนชวนตะลึง

บนผิวทะเล พยับเมฆเป็นชั้นๆ รวมตัวกันไม่หยุดราวหยดหมึก มืดครึ้มดำทะมึน กดบีบหัวใจผู้คน

จ้องมองเงียบๆ อยู่นาน นางยืดเอวบิดขี้เกียจ คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ผู่เจิน หลบๆ ซ่อนๆ มาหลายปีขนาดนี้ บนโลกนี้ดูเหมือนยังมีคนคิดว่าปีนั้นพวกเราพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของพวกเขานะ…”

ริมหน้าผาชันปรากฏบุรุษที่หน้าตาธรรมดา ผิวคร้ามเข้ม ศีรษะสวมงอบเหมือนชาวนาคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไร้เสียง

เขาเกาหัวแกรก เผยรอยยิ้มซื่อๆ ออกมา เอ่ยตอบไม่ตรงคำถาม “ศิษย์น้อง ข้าคิดว่าตอนที่เจ้าไม่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ดูแล้วรื่นตากว่ากันเยอะ”

สวบ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งโฉบผ่านใบหูของชายชาวนาไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทำเอาเขาตกใจจนคอหด ยิ้มขื่นกล่าว “ชั่วขณะมรรคว่างเปล่า มรรคกระบี่สุดแพรวพราว ศิษย์น้อง ขืนเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงถูกเจ้าทำให้ตกใจจนมรรควิถีสลายหายเกลี้ยงแล้วจริงๆ”

หญิงผู้นั้นย่อมเป็นจวินหวน นางค้อนผู่เจินอย่างไม่สบอารมณ์ปราดหนึ่ง กล่าวว่า “ไปเถอะ”

“ไปไหน”

ผู่เจินอึ้งไป

“ไปก่อกวนลมฝนคลุ้งฟ้านั่น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์