แต่สำหรับหลินสวิน บนหนทางต่อจากนี้ เปรียบเทียบกันแล้วกลับเงียบสงบขึ้นมาก
เขาเดินอยู่ตามลำพังกลางภูผาธารา ระหว่างทางก็เจอพื้นที่อันตรายและประหลาดน่ากลัวไม่น้อย
แต่เขาไม่กังวลเหมือนตอนแรกแล้ว
ประสบการณ์หลายวันมานี้ทำให้เขาคุ้นเคยและเข้าใจสภาพต่างๆ ของเขตต้องห้ามเซียนโบราณนานแล้ว จึงหลบเลี่ยงเคราะห์สังหารบางส่วนได้อย่างหวุดหวิดอยู่บ่อยครั้ง
พลบค่ำดวงตะวันย่ำสายัณห์ แผ่แสงม่วงมลังเมลือง ย้อมเมฆชั้นแล้วชั้นเล่าเป็นสีม่วง งดงามไร้ขอบเขต
อาทิตย์อัสดงและแสงสายัณห์สีม่วงนี้พบเห็นได้น้อยครั้งนัก ทำให้ใต้หล้าและสรรพสิ่งอาบไล้ด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์ที่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง
หลินสวินเดินอยู่กลางป่าเขา ในใจรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
‘หมอกม่วงมาจากบูรพาทิศ แสงมงคลสาดส่องทั่วหล้า สรรพสิ่งก่อเกิดอยู่ภายใน ถ้าฝึกปราณอยู่ที่นี่ ต้องหยั่งรู้ร่องรอยมหามรรคที่ไม่อาจสัมผัสในโลกภายนอกได้อย่างชัดเจนแน่…’
หลินสวินสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าแผ่วเบา อาบไล้ด้วยแสงอัสดงสีม่วง ดูดกลืนกลิ่นอายมหามรรคบริสุทธิ์ที่อบอวลในอากาศ ทำให้ทั้งตัวเขาถูกหมอกควันชั้นหนึ่งปกคลุม เลือนรางและพร่ามัว
เดินบำเพ็ญ นั่งบำเพ็ญ ปิดเปิดวาจา นิ่งขยับล้วนเรียบง่าย
เวลานี้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของเขาไหลเวียนอยู่ภายในร่าง สอดคล้องกับฟ้าดิน ตอบรับทุกสรรพสิ่ง เสมือนฟ้ากับคนเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกออกจากกัน
ความรู้สึกนี้ช่างเบิกบานจริงๆ ตัวเบาราวกับขี่ลมบรรลุเซียน
‘หาความพอดีคือวิถีแห่งการฝึกปราณ ฟ้าดินแถบนี้มีอันตรายใหญ่หลวง แต่ก็มีความงามยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยโอ้อวดเช่นกัน หากเร่งเดินทางย่อมพลาดโอกาสชมความงามแห่งมหามรรคที่อยู่ระหว่างทางนี้แน่’
กายใจของหลินสวินปิตินิ่งสงบ นี่คือความอิ่มเอมใจ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความปลอดโปร่งของการขับเคลื่อนพลัง
หลายวันก่อนเขาเปิดศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกับพวกข่งเจา ไล่สู้กันมาตลอดทาง พอกวาดล้างศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งหมดได้ พวกหวงฝู่เซ่าหนงก็พุ่งสังหารตามมาติดๆ การต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้จิตใจของเขาตึงเครียดอยู่ตลอด ไม่เคยได้ผ่อนคลาย
ตอนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง จิตใจของเขาว่างเปล่า เบิกบานผ่อนคลายไปทั้งตัว ขึ้นเขาลงห้วยอย่างสบายๆ ทุกอย่างที่เห็น ได้รับและรู้สึก ย่อมต่างออกไปเป็นธรรมดา
ฟ้าดินมีความงดงามยิ่งใหญ่ แต่ไม่เคยใช้วาจาโอ้อวด สรรพสิ่งมีการหมุนเวียนสม่ำเสมอ แต่ไม่เคยอวดอ้าง
หลินสวินเดินอยู่ในโลกที่ไม่อาจระบุนี้เพียงลำพัง เข้าใจหลักการที่ว่า ‘มหามรรคไร้นามมีอยู่ทุกแห่งหน’ ยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่เดินอยู่คนเดียว พลังขับเคลื่อนทั่วร่างหลินสวินก็คลุมเครือและยากจับต้องยิ่งกว่าเดิมแล้ว ในความรางเลือนราวกับกลายเป็นแสงสายหนึ่ง ซึมซาบเข้าไปในใต้หล้าฟ้าดินนี้ หลอมรวมกับหมื่นมายา กายใจเข้าสู่การหยั่งรู้อย่างลึกล้ำ
การหยั่งรู้และใจความที่เคยฝึกมาในอดีตล้วนไหลบ่าอยู่ในใจราวกระแสน้ำ กลายเป็นส่วนหนึ่งของมรรควิถีแห่งตน
งูเหลือมยักษ์สีดำตัวหนึ่งขดอยู่บนต้นไม้เก่าแก่ นัยน์ตาเขียวมรกต มีเกล็ดลายมังกรแต่กำเนิด บนร่างมหึมาประทับลายมหามรรคแน่นขนัดนับไม่ถ้วน แผ่กลิ่นอายอำมหิตยิ่งใหญ่ สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิสิ้นหวัง
เมื่อหลินสวินเดินออกมาจากส่วนลึกของป่าโบราณ ก็แค่เงยหน้าเหลือบมองงูเหลือมยักษ์สีดำตัวนี้เล็กน้อยแล้วมุ่งหน้าต่อไป
แต่งูเหลือมยักษ์สีดำนั้นกลับราวไม่สังเกตเห็นสักนิด นอนขดอย่างเกียจคร้าน ราวกับไม่รู้ตัวว่าเพิ่งมีคนเดินผ่านตนไปต่อหน้าต่อตา
เนิ่นนานมันจึงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้ามองไปยังจุดที่หลินสวินหายไป ในแววตาเจือความสงสัยเสี้ยวหนึ่ง
และตอนนี้หลินสวินก็จากป่าโบราณผืนนี้ไปนานแล้ว
กายใจของเขายังดื่มด่ำอยู่ในการหยั่งรู้ สัมผัสความอัศจรรย์ของศุภโชคตามธรรมชาติ หลงลืมตัวตน
เส้นทางอยู่ที่ไหน
ใต้ฝ่าเท้า
มหามรรคอยู่ที่ใด
ดำรงอยู่ทุกแห่งหน!
กายใจมีความรู้สึก สรรพสิ่งล้วนคือมรรค ก้าวเดินเคลื่อนไหวล้วนคือการฝึกปราณ!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าผืนหนึ่งก็พลันหยุดเท้า
ทุ่งรกร้างแถบนี้แปลกประหลาดเหลือประมาณเช่นกัน หญ้าแต่ละต้นล้วนสูงหลายจั้ง ลำต้นและใบอวบอ้วนหลากสีสัน เมื่อเดินอยู่ในนั้นก็เหมือนเข้าไปในมหาสมุทรหลากสีผืนหนึ่ง
พริบตาที่หลินสวินหยุดเท้า ในต้นหญ้าสีน้ำเงินเข้มต้นหนึ่งมีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา
เจตกระบี่เลือนราง ไร้รูปไร้ตัวตน ราวกับเงาแสงสายหนึ่งปรากฏ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ที่น่ากลัวที่สุดคือตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เกิดคลื่นพลังแม้เพียงเสี้ยว
แต่เมื่อแสงกระบี่นี้อยู่ห่างจากหน้าหลินสวินได้หนึ่งฉื่อ กลับถูกนิ้วมือทั้งสองจับไว้ได้
ปึง!
แสงกระบี่ระเบิดออกทั้งอย่างนั้น ละอองแสงโปรยปราย
ขณะเดียวกันร่างของหลินสวินหายไปกลางอากาศ
ในจุดเดิมที่เขายืนอยู่มีแสงดาบสายหนึ่ง เงาทวนวูบหนึ่ง หนามแหลมแท่งหนึ่งปรากฏโดยไร้สุ้มเสียง พุ่งตัดสลับกันกลางอากาศแล้วหายไป
จินตนาการได้เลยว่าหากเมื่อครู่การตอบสนองของหลินสวินช้าไปเพียงเสี้ยว ต่อให้ขวางกระบี่ที่พุ่งเข้ามานั้นได้ ก็ย่อมต้านกระบวนท่าสังหารที่จู่โจมมาจากข้างหลังนี้ไม่อยู่!
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินกลับดูนิ่งสงบ ยามหลบการล้อมสังหารที่เจ้าเล่ห์อำมหิตนี้ เขาก็ลงมือโดยไม่ลังเลแล้ว
วู้ม!
ปราณกระบี่ไท่เสวียนที่แน่นขนัดพุ่งออกมา แผ่ขยายไปทั่วทิศ พุ่มหญ้ามหึมาใกล้เคียงที่สูงหลายจั้งนั่นถูกป่นกลายเป็นจุณในพริบตา
เงาร่างสี่สายที่แฝงตัวอยู่ในนั้นก็เผยร่องรอยออกมาในยามนี้
เป็นชายสามหญิงหนึ่ง ล้วนกลิ่นอายเร้นลับและแปลกประหลาด ต่างคนต่างถือกระบี่ ดาบ ทวน เหล็กหมาดปลายแหลมไว้ ราวกับมือสังหารแห่งยุคที่มาจากความมืด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์