หลินสวินจำชื่อของ ‘สิ่งที่ควรรู้ยามนี้’ ไว้ในใจ
“วิญญาณกระบี่มีนิสัยเหมือนเจ้านายของมัน เจตกระบี่มาจากแหล่งเดียวกัน เท่าที่เห็นกลิ่นอายของวิญญาณกระบี่นี้ เดิมทีข้าคิดว่าวิญญาณกระบี่นี้ต้องเป็นพวกอำมหิตจองหองแน่ ใครจะคิดว่านิสัยกลับอ่อนนุ่มทว่าเหนียวแน่นเหมือนใบไม้…”
จี้เสวียนอดทอดถอนใจไม่ได้
หลินสวินก็รู้สึกแบบเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้รับผลกระทบจากเจตกระบี่ที่น่ากลัวนั่น สิ่งที่สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งมีแค่คำเดียว
บ้าระห่ำ!
แต่เมื่อวิญญาณกระบี่เย่จื่อเก็บกลิ่นอาย กลับเป็นว่าไม่มีกลิ่นอายถือดีแม้แต่น้อย
จี้เสวียนกล่าว “ไปเถอะ ไม่เกินสองชั่วยามก็น่าจะถึงสถานที่ซึ่ง ‘ประตูทลาย’ ตั้งอยู่แล้ว”
ประตูทลาย!
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ซักถามก็เดินทางต่อ
บนหนทางต่อจากนั้น กลิ่นอายทำลายล้างที่ปกคลุมในเขาปู้โจวนี้น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นอายที่เหมือนระเบียบมหามรรคอบอวลไปทั่วทิศ
มองเห็นลักษณ์ประหลาดน่าพรั่นพรึงปรากฏเป็นครั้งคราว มีเหล่ามารออกจากหุบเหวลึก เทพเซียนสะอื้นไห้ นภาพังทลาย สรรพชีวิตพินาศย่อยยับ มหามรรคดับสลาย โลกกลายเป็นเถ้าถ่าน…
เหตุการณ์ประหลาดต่างๆ แผ่กลิ่นอายน่ากลัวที่พาให้คนใจสั่นระรัว
แม้ในใจจะรู้ดีว่านั่นเป็นแค่ลักษณ์ประหลาด ไม่ใช่ความจริง แต่ยังทำให้ในใจหลินสวินตระหนก
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดคาดคือ ตลอดทางมานี้ล้วนตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย ไม่เจออุปสรรคและการโจมตีใดๆ อีก
ถึงขั้นไม่เจอแม้แต่ ‘ของดุร้าย’ ที่แปลกประหลาดน่ากลัวพวกนั้นด้วย ประหนึ่งระเหยไปกลางอากาศ
“เพราะกลิ่นอายของเย่จื่อทำให้ของดุร้ายพวกนี้ตระหนกถอยร่น ว่าไปแล้วตัวตนของเย่จื่อก็เป็นของดุร้ายที่เปื้อนกลิ่นอายทำลายล้างของเขาปู้โจว แค่การรับรู้ของเย่จื่อยังอยู่ จึงรักษาจิตวิญญาณที่ไม่เคยสลายไปไว้ได้”
เมื่อจี้เสวียนอธิบายเช่นนี้ หลินสวินจึงเข้าใจกระจ่าง
ชั่วยามกว่าให้หลัง หลินสวินเดินลัดเลาะข้ามเขาที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดอยู่ครู่ใหญ่ ตลอดทางเงียบสงัด ทุกอย่างที่เห็นคือซากปรักหักพังและมลายล้างซึ่งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต
“เอ๋”
ทันใดนั้นในจิตรับรู้ของหลินสวินสังเกตเห็นเงาร่างสายหนึ่ง กำลังเดินอยู่เบื้องหน้าห่างจากตนไปไม่กี่พันจั้ง
นี่คือภิกษุเด็กหนุ่มที่ท่าทางซื่อๆ รูปหนึ่ง สวมจีวรสีพื้นแขนกว้าง หน้าตาดูว่านอนสอนง่าย ยามก้าวเดินทั่วร่างจะมีแสงธรรมเหมือนอริยเทพไหลบ่า
ผู้สืบทอดของอารามโบราณยอดทักษิณ หลิงเคอจื่อ!
หลินสวินจำได้ในพริบตา ตอนที่อยู่แหล่งสถานคุนหลุน เขาก็รู้สึกว่าภิกษุที่ดูเชื่องเชื่อรูปนี้น่าสนใจมาก ยามที่เจอตน เขาจะตกใจและขี้ขลาดเหมือนกระต่าย
แต่ต่อมาที่หน้างานชุมนุมถกมรรค หลินสวินกลับได้ยินว่าภิกษุที่ขี้ขลาดหาใดเปรียบอย่างหลิงเคอจื่อ กลับกลายเป็นอันดับหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นมาร!
แคว้นมาร นั่นเป็นถึงอาณาเขตที่ราวกับแดนมาร เป็นโลกของผู้ฝึกปราณสายมาร แต่หลิงเคอจื่อที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมกลับกำราบเหล่ามาร ยืนผงาดเหนือผู้ใด!
นี่ทำให้คนคาดไม่ถึงอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อดูบันทึกข้อมูล หลินสวินจึงรู้ว่าหลิงเคอจื่อมีพรสวรรค์ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ ครอบครองเขตแดนมรรค ‘โพธิสังฆาราม’ มีอานุภาพสยบคนโดยไม่ต้องสู้
คำว่าโพธิ เดิมก็สื่อถึงความรู้แจ้งถ่องแท้ ใจปลอดโปร่งย่อมเห็นแจ้ง ราวกับผู้ตื่นรู้ในชั่วขณะ พบทางสว่างฉับพลัน บรรลุถึงขั้นโดดเด่นเหนือธรรมดา
เขตแดนมรรคของหลิงเคอจื่อถึงกับมีคำว่า ‘โพธิ’ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามรรควิถีของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อันที่จริงหลิงเคอจื่อสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคด้วยฐานะ ‘อันดับหนึ่งของแคว้น’ ทั้งยังโดดเด่นเหนือผู้อื่นในการต่อสู้ของแดนลับโลกาสวรรค์ กลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งร้อยแปดคนที่เข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้ได้ เดิมทีก็สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว!
แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าจะได้เจอเจ้าหมอนี่อีกครั้งในเขาปู้โจวที่อันตรายหาใดเปรียบนี้
“อ๊าก…!”
พร้อมกันนั้นเมื่อหลิงเคอจื่อหันไปเห็นหลินสวินที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็สั่นเทาไปทั้งตัว บนใบหน้าซื่อๆ เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แผดเสียงตะโกนคำหนึ่งแล้วเผ่นหนีทันที
‘ในสายตาของเจ้าหมอนี่ ข้าน่ากลัวกว่าเขาปู้โจวรึ’
หลินสวินหมดคำพูด เร่งตามไปทันที
เขากลับอยากถามว่าภิกษุน้อยรูปนี้กลัวอะไรกันแน่ ตอนอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุนก็เป็นเช่นนี้ ยามอยู่ที่เขาปู้โจวนี่ก็ยังเป็นเช่นนี้อีก
นี่จะผิดปกติเกินไปแล้ว!
ต้องรู้ว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความแค้นใดต่อกัน
“อย่าตามข้า… ไม่ อย่าฆ่าข้า… ข้ายอมเรียกท่านว่าบิดาแล้ว พอใจไหม”
หลิงเคอจื่อวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกระต่ายที่ถูกทำให้ตกใจเกินเหตุ ปากยังร้องเสียงดังไปด้วย
“บิดาบ้านเจ้าสิ!”
หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าบอกว่าจะฆ่าเจ้าเมื่อไหร่กัน”
“แต่ข้า… กลัวนี่นา!”
ท่าทางของหลิงเคอจื่อเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมและตื่นตระหนก
หลินสวินเห็นว่าเจ้าหมอนี่รีบหนีไม่ดูทางจึงตวาดใส่ทันที “ถ้าเจ้าหนีอีก ข้าจะลงมือจริงๆ แล้ว!”
ประโยคเดียวทำเอาเงาร่างของหลิงเคอจื่อหยุดชะงัก หันกลับมาอย่างยากลำบาก สีหน้าเต็มไปด้วยคำว่า ‘ขลาดกลัว’ มีท่าทีว่ายอมแพ้
“จะฆ่าจะแกงก็ตามใจเถอะ!”
หลิงเคอจื่อพูดพลางหลับตาปี๋
หลินสวินเคาะหน้าผากที่เงาวาวของเขาคราหนึ่งพลางกล่าว “ถ้าจะฆ่าเจ้า ต้องให้เจ้าเตือนด้วยหรือ”
หลิงเคอจื่อลืมตาแล้วกล่าวอึ้งๆ “เช่นนั้นเจ้าตามข้ามาทำไม”
หลินสวินเอามือกุมหน้าผาก สีหน้าจนใจ “ถ้าเจ้าไม่หนี ข้าจะตามเจ้ามาทำไมเล่า”
หลิงเคอจื่อค่อยกล่าวเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าพี่หลินเชื่อว่าข้าเปิดโปงฐานะของท่าน ดังนั้นจึงคิดจะฆ่าข้าเพื่อระบายความโกรธ ที่แท้ก็ไม่ใช่”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็มองออกอยู่ก่อนแล้วว่าข้าไม่ใช่จินตู๋อี?”
หลิงเคอจื่อสะอึก พลันตระหนักขึ้นมาได้ “ที่แท้พี่หลินก็ไม่รู้นี่เอง”
ครานี้หลินสวินใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ต้องรู้ว่าเขาสวมชุดนักพรตสมประสงค์ไว้ ทั้งยังเดินทางโดยใช้กายมรรคทองขาว ตอนอยู่ที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ แม้แต่ระดับจักรพรรดิมากมายยังมองฐานะของเขาไม่ออก
แต่หลิงเคอจื่อนี่กลับทำได้!
“ไป พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์