เวิ้งฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ราตรีนิรันดร์ดุจน้ำหมึกอบอวลไปทั้งส่วนลึกของท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ
บรรยากาศกดดันอันเงียบงันก็เปลี่ยนเป็นชอบกลขึ้นมาในขณะนี้
“ในที่สุดก็เก็บกลั้นไม่ไหวแล้ว…”
แววตาทอประกายเร้นลับไหววูบขึ้นในเนตรกระจ่างของรั่วซู่ ตัวนางเหมือนผ่อนคลายลงไม่น้อย
“กลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่ ก็พิสูจน์ได้ว่าคราวนี้ ‘เขา’ ก็ไม่มั่นใจเต็มอกล่ะสิ”
หลี่เสวียนเวยคล้าบขบคิด
“แต่พวกเราก็เหมือนไม่มั่นใจเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นศึกนี้จะชนะหรือไม่ก็พูดยากนะ…”
เสวี่ยหยานิ่วหน้าพึมพำ
“อย่าเพิ่งคิดเรื่องชนะ ให้คิดเรื่องแพ้ก่อน ศิษย์พี่เสวี่ยหยาพูดถูกจริงๆ”
จวินหวนพยักหน้า
ผู่เจินไม่ได้เอ่ยปาก ดูกลัดกลุ้มนัก สีหน้าก็เคร่งขรึมมาก
หลินสวินก็ไม่พูดจา เป็นเพราะเขาสอดปากอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้สักนิดว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านี้ถกเรื่องอะไรกันอยู่
รู้แต่ว่าการประชันหมากตาต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นจะต้องน่ากลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
ขณะนี้เหล่าบุคคลระดับจักรพรรดิ รวมถึงพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เงียบงันอยู่ในความมืดมาตลอดซึ่งอยู่ไกลออกไป กลับเหมือนถอนหายในโล่งอกโดยไม่ได้นัดหมาย
สายตาของพวกเขาก็มองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า สีหน้าแตกต่างกันไป
เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เคยเข้าร่วมศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิบางคนยิ่งรู้ดีว่า ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในตอนนั้นก็เคยเกิดภาพเช่นนี้ขึ้น
ตอนนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นก็ประสบเคราะห์อย่างต่อเนื่องยามสิ่งนี้เปิดฉากขึ้น!
เวิ้งฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีดำดุจน้ำหมึกท่ามกลางความเงียบเชียบ
ฟ้าดินมืดมิดราวกับตกอยู่ในราตรีนิรันดร์
กลิ่นอายด่านเคราะห์ต้องห้ามอันกดดันและน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าสีดำนั้น
ขณะนี้สรรพชีวิตมากมายทั้งโลกใหญ่หงเหมิงอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ขณะนี้ท้องฟ้าดำสนิทดุจราตรีกาลบดบังใต้หล้า
ขณะนี้สายตาที่กระจายอยู่ทั่วหล้าฟ้าดาราไม่รู้เท่าไรต่างรู้สึกจิตใจสั่นระรัว ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย…
เกือบแสนปีผ่านไป ในที่สุดพลังระเบียบต้องห้ามนั่นก็จะมาเยือนโลกอีกครั้งแล้วหรือ
เรือนมรรคโลกาสวรรค์
ไท่ซูหงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา แหงนหน้ามองเวิ้งฟ้า สีหน้าซับซ้อน ครู่ใหญ่จึงทอดถอนใน “นี่จะต่างอะไรกับประชันหมากกับสวรรค์”
“พลังต้องห้าม”
ขณะนี้หลินสวินขนลุกเกรียว
ตอนบรรลุระดับมกุฎราชัน ระดับมกุฎอริยะและระดับกึ่งมกุฎจักรพรรดิ เขาล้วนเคยประสบกับมหาเคราะห์ไร้เทียมทานที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้าม
กระทั่งสมัยได้ไม้โพธิ์เปื่อยเน่าท่อนนั้นมาจากดินแดนรกร้างโบราณ ก็เคยพบเห็นความน่ากลัวของพลังต้องห้ามเช่นนี้แล้ว
และจากคำพูดของชายหนุ่มจักจั่นทอง สามด่านเคราะห์ต้องห้ามที่ปกคลุมดินแดนรกร้างโบราณมาจากยอดบุคคลที่ถูกขนานนามว่า ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’
ต่อมาหลินสวินถึงรู้ว่าพลังระเบียบราวกับสิ่งต้องห้ามนั้น เป็นเพียงสิ่งที่จอมจักรพรรดิไร้นามได้หยั่งรู้และควบคุม ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่ไหนกันแน่ไม่มีใครล่วงรู้
ฟ้าดินหมองหม่น ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยสีหมึกราวราตรีนิรันดร์ทำให้ฟ้าดินคืนสู่ความเงียบสงัด สิบทิศล้วนสั่นสะท้าน กลิ่นอายต้องห้ามน่ากลัวที่ไร้รูปร่างกดดันให้ทุกคนหายใจติดขัด
ขณะนี้พวกรั่วซู่ก็สีหน้าเคร่งเครียด
ครืน!
เสียงฟ้าร้องหนักทึบเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงัดของฟ้าดินแห่งนี้
มองเห็นกับตาว่าส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นมีวังวนมหึมาปรากฏขึ้นเหมือนกับกรวยน้ำกลับหัว ทั้งยังเหมือนประตูใหญ่สู่แดนสวรรค์เบิกออก
พลังระเบียบต้องห้ามคลุมเครือขมุกขมัวสายแล้วสายเล่ากระเซ็นกระสายออกมาจากวังวนราวกับฝูงงูเริงระบำ กลิ่นอายด่านเคราะห์สูงส่งหาใดเทียบฉายวาบอยู่
เพียงมองจากไกลๆ ก็ทำให้ศีรษะชาหนึบ อกสั่นขวัญแขวน
“ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว…”
เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่จำศีลอยู่ในที่มืดเหล่านั้น ขณะนี้ต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดวงตาปรากฏแววกระตือรือร้นตั้งตาคอย
ต้องห้ามดุจมรรค สูงส่งไร้สิ่งใดเทียบเทียม!
อย่างน้อยในทั่วหล้าฟ้าดาราแห่งนี้ พลังระเบียบด่านเคราะห์ราวกับสิ่งต้องห้ามนั้น จนตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถทัดทานการสังหารของมันได้!
และก็เป็นในบรรยากาศซึ่งบีบคั้นกดดันหาใดเทียบนี้ที่รั่วซู่ยิ้มถามหลินสวินว่า
“ศิษย์น้อง รู้ไหมว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณจึงมักจะด่าเสียงดังว่า ‘สวรรค์เฮงซวย’ ตอนที่พบเจอเรื่องขลุกขลัก”
ไม่ทันรอให้หลินสวินถาม หลี่เสวียนเวยก็อธิบายแล้วว่า “พวกเราฝึกมรรค ก้าวย่างบนเส้นทางเย้ยสวรรค์ ย่อมมองสวรรค์เป็นศัตรู ด่ามันว่าสวรรค์เฮงซวยยังไม่เกินไปเลย”
จวินหวนเอ่ยต่อว่า “แต่ในเรื่องนี้ยังมีความเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่ง พวกเราฝึกปราณ หยั่งรู้ฟ้าดิน ควบคุมมหามรรค พลังนี้มาจาก ‘มรรค’”
“มรรคเดิมไร้นาม ซุกซ่อนอยู่ในสรรพชีวิต ที่มาแห่งแรกกำเนิด จุดเริ่มต้นของแรกกำเนิด วัฏสงสารของสรรพชีวิต การผันแปรของเรื่องราวในโลก ความเป็นความตายของสรรพวิญญาณ… ล้วนประทับอยู่ในนัยเร้นลับแห่ง ‘มรรค’”
“ผู้คนในโลกต่างเรียกสิ่งนี้ว่า ‘วีถีสวรรค์’”
“และพลังระเบียบต้องห้ามนี้ก็เป็น ‘มรรค’ อย่างหนึ่งเช่นกัน แต่กลับเป็นศัตรูตัวฉกาจในการฝึกปราณของพวกเรา!”
เสวี่ยหยาที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก “พวกเราฝึกปราณ ย่อมประสบกับด่านเคราะห์ต่างๆ แต่ที่ไม่เหมือนกับด่านเคราะห์พวกนี้ คือพลังระเบียบต้องห้ามมักเป็นตัวแทนของความพิสดารและไม่อาจหยั่งถึง ราวกับถ้าละเมิดสิ่งต้องห้ามก็จะถูกสังหารชนิดไม่อาจจินตนาการได้”
“พลังอันพิสดารและไม่อาจหยั่งถึงเช่นนี้จึงจะเป็น ‘พลังระเบียบต้องห้าม’ ที่แท้จริง!”
ในที่สุดศิษย์พี่ผู่เจินก็สรุปด้วยเสียงต่ำลึกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์