Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2113

สรุปบท ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

ในจิตรับรู้ของหลินสวิน ระหว่างฟ้าดินที่ไกลออกไป มีวิญญาณดุร้ายเกือบร้อยตนกำลังพุ่งทะยานเข้ามา

ทั่วร่างวิญญาณร้ายพวกนี้อบอวลด้วยแสงโลหิต เหาะเหินทะยานเมฆา รูปร่างคล้ายภูตผีก็ไม่ใช่ คล้ายมารปีศาจก็ไม่เชิง ยามห้อตะบึงประหนึ่งกองทัพนรกอันน่าพรั่นพรึงกองหนึ่งออกกรีฑาทัพ

จู่ๆ โลกแห่งนี้ก็สั่นสะเทือน กลิ่นอายเข่นฆ่าคาวเลือดที่พาให้คนขนลุกขนพองพุ่งทะยานฟ้า

‘กลิ่นอายแต่ละตนถึงกับไม่ต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!’

ชั่วพริบตาเดียวหลินสวินก็ชี้ขาดออกมา อดตกตะลึงไม่ได้ นี่ยังแค่นรกอำพรางชั้นหนึ่งเท่านั้น วิญญาณร้ายที่เกลื่อนกลาดก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว

คาดการณ์เช่นนี้ พลังของชั้นที่เก้าจะน่าสะพรึงเท่าใดกัน

“คนใหม่รึ หากไม่ยากถูกกำจัดออกไปก็รีบๆ หลบซะ!”

ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นปานอสนีบาตรระลอกหนึ่งดังกระหึ่มมา

หลินสวินถึงเพิ่งสังเกตว่าในละแวกใกล้เคียงนี้มีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายหนึ่งซุ่มอยู่ นั่นเป็นชายอาภรณ์ดำผอมแห้งผู้หนึ่ง อานุภาพคมกริบเฉียบแหลม แววตาชวนสยอง

หลินสวินไม่ตกใจกลับดีใจ มีคนก็ดี อย่างน้อยจะได้รู้ข้อมูลที่แท้จริงของนรกอำพรางนี่ได้อีกหน่อย

“ยังมัวอึ้งอะไรอีกเล่า หลบเร็ว!”

ชายชุดดำตวาดลั่น

เขาฝึกปราณอยู่ชั้นหนึ่งมาหลายสิบปีแล้ว รู้สภาพในที่แห่งนี้ดีเป็นที่สุด ยามปกติจะไม่มีวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้ปรากฏออกมา

ทันทีที่ถูกพวกมันปิดล้อม ผลที่ตามมานั่นคงเลวร้ายเกิดคาดเป็นแน่ ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงฝูงวิญญาณร้ายนับร้อยพันที่มีพลังต่อสู้ระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!

หลายสิบปีมานี้ชายชุดดำเคยเจอพวกวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้เพียงสามครั้งเท่านั้น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเป็นปฏิปักษ์กับมัน

“สหายไม่ต้องกังวลไป ข้าเพิ่งมานรกอำพราง กำลังคิดจะทดสอบฝีมือกับวิญญาณร้ายพวกนี้สักหน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ขณะพูด วิญญาณร้ายฝูงนั้นที่แฝงกลิ่นอายคาวเลือดแสบจมูกทั่วฟ้าก็ปรากฏในครรลองสายตาแล้ว

ชายชุดดำอึ้งไป เกือบโมโหจนจะกลายเป็นหัวเราะใส่ เขายังไม่เคยเห็นใครที่อาจหาญเช่นนี้มาก่อน เพิ่งมาถึงชัดๆ ดันร้องว่าจะไปสู้กับวิญญาณร้ายทั้งกลุ่ม ออกจะโง่งมเกินไปแล้ว!

“เจ้า…”

ตอนที่ชายชุดดำกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง หลินสวินก็ชิงลงมือก่อนแล้ว

เขารวบนิ้วเป็นกระบี่ กรีดผ่ากลางห้วงอากาศคราหนึ่ง ปราณกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งออกมา

ฉัวะ!

กระบี่นี้ประหนึ่งเบิกฟ้าผ่าดิน ลึกลับไร้ขอบเขต ตัดขวางผ่านอากาศ ฟันฉับลงมา ยามมองจากไกลๆ ประหนึ่งธารดาราไหลหลั่งจากเก้าชั้นฟ้า ศักดิ์สิทธิ์คลุมจักรวาล!

พรูดๆๆ!

ก็เห็นว่าวิญญาณร้ายมากมายนับร้อยพันที่เทียบได้กับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าเหล่านั้น ยังไม่ทันได้มาถึงก็ถูกปราณกระบี่สายนี้ปกคลุมแล้ว ร่างกายแตกระเบิดราวกระดาษเปื่อย กลายเป็นละอองเลือดนับไม่ถ้วนล่องลอย

ดับสิ้นมลายเกลี้ยง!

ชายชุดดำตะลึงงัน ดวงตาแข็งค้าง กระบี่เดียว ทำลายกองทัพวิญญาณร้ายขบวนหนึ่งเชียวหรือ

ครู่ใหญ่เขาถึงหันสายตาไปยังหลินสวิน กล่าวว่า “สหาย เจ้าก็เป็นคนของเรือนเร้นหมอกหรือ”

ในน้ำเสียงเจือแววเลื่อมใส

ขอเพียงเป็นคนที่เข้ามาฝึกฝนในนรกอำพรางได้ ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่ถูกคัดมาจากเรือนเร้นหมอกและหอวิหคทองแดง ชายชุดดำมีหรือจะไม่กระจ่างว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามานี่เป็นพวกชั้นยอดคนหนึ่ง

“นับว่าใช่กระมัง”

หลินสวินตอบลวกๆ ไปประโยคหนึ่งแล้วสาวเท้าไปเบื้องหน้า เป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชายชุดดำผู้นี้

ไม่นานก็ได้รู้ว่าชายชุดดำผู้นี้มีนามว่าป๋อชวน ปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนเร้นหมอก ฝึกปราณอยู่ในนรกอำพรางชั้นหนึ่งนี่มานานสามสิบเก้าปีแล้ว

สามสิบเก้าปีก่อน ป๋อชวนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์

ทว่าเขาในตอนนี้มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้าแล้ว นี่เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงยิ่งนัก อย่างไรเสียปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิใช่ว่าใครจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ

เมื่อได้รู้จากปากป๋อชวนว่าก่อนที่ผู้แข็งแกร่งจะมาเคี่ยวกรำในนรกอำพราง ล้วนจะพกยันต์หยกคงชีพมาด้วยแผ่นหนึ่ง สีหน้าของสวินก็พลันดำมืดทันที

เขานึกถึงเจ้าหมาหน้าตุ่นที่ถีบส่งตนเข้ามาในวังน้ำวนตัวนั้นแล้วให้แค้นจนกัดฟันกึกๆ บัญชีนี้ย่อมคิดที่ต้าหวงโดยปริยาย

และเมื่อป๋อชวนรู้ว่า เป้าหมายของหลินสวินคราวนี้คือตะลุยไปถึงชั้นเก้า ก็อึ้งไปทั้งตัว

ชั้นที่เก้า!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในหมู่คนที่ปราณต่ำกว่าระดับจักรพรรดิมีเพียงเจ้าหอวิหคทองแดงคนเดียวที่เคยไปถึง และเป็นที่นั่นที่ทำให้เจ้าหอวิหคทองแดงบรรลุจักรพรรดิ!

ป๋อชวนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม “พี่หลิน ก่อนเจ้าจะมาไม่มีใครบอกเจ้าเลยหรือ ว่านรกอำพรางนี่มีอันตรายมากแค่ไหน”

หลินสวินส่ายศีรษะ

ป๋อชวนเผยสีหน้าเป็นเช่นนี้ดังคาด เอ่ยว่า “พี่หลิน หาใช่ข้าขัดขาเจ้า แต่เจ้ายังไม่รู้จักนรกอำพรางดีพอ…”

ขณะพูดเขาก็บอกเรื่องราวบางส่วนที่ตนล่วงรู้กับหลินสวิน

“ก็หมายความว่าต่อให้พกยันต์หยกคงชีพมา ก็สามารถใช้ได้แค่สามชั้นแรกเท่านั้นหรือ” คราวนี้หลินสวินถึงกระจ่างขึ้นมาบ้าง

ป๋อชวนกล่าว “ถูกต้อง ชั้นที่สี่ลงไป วิญญาณร้ายที่กระจายตัวอยู่แข็งแกร่งเหลือคณา ผู้แข็งแกร่งที่มีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิสามชั้นฟ้าอย่างเจ้าก็ไม่กล้าบุกเข้าไปง่ายๆ”

“ในหมื่นปีมานี้ มีเพียงพวกร้ายกาจไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เคยเสี่ยงเข้าชั้นสี่ลงไป”

“ส่วนชั้นที่เก้า… ว่ากันว่าแม้จะเป็นระดับจักรพรรดิเข้าไป ก็มักจะประสบเหตุไม่คาดคิด เป็นสถานที่เลวร้ายสุดขั้ว!”

หนึ่งคือรอคอยโอกาส ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งช่องทางสีโลหิตนั่นจะปรากฏโอกาสให้เข้าออกได้อย่างอิสระหนึ่งครั้ง

สองก็คืออาศัยศักยภาพแห่งตน ฝืนตะลุยฝ่าออกไป วิธีนี้ก็ลำบากยากเย็นเป็นที่สุด

หลินสวินจดจำวิธีพวกนี้ไว้ในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก

มีป๋อชวนนำทางเช่นนี้ ทำให้หลินสวินประหยัดเวลาหาทางขึ้นเป็นกอง ม้าแก่ชำนาญทางที่เรียกกันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ตลอดทางทั้งสองคนพบเจอวิญญาณร้ายบางส่วนอยู่บ้าง ล้วนกลิ่นอายอำมหิตดุร้าย ทั่วร่างแผ่คลื่นสีโลหิต บ้างเคลื่อนไหวสองสามตน บ้างก็ปรากฏเป็นกลุ่มสามถึงห้าตน

เจ้าพวกนี้สำหรับหลินสวินแล้วย่อมไม่ใช่อุปสรรคอะไร แค่สะบัดมือก็กำจัดได้แล้ว สบายเสียจนเหมือนบี้แมลงวันตายตัวแล้วตัวเล่า

ป๋อชวนมองเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา ในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนี้ฝีมือน่าตกตะลึงยิ่งยวด หากเปลี่ยนให้เขาไปต่อสู้ ไม่มีทางมีท่าทีสบายเช่นนี้เป็นแน่

และตลอดทางมานี้หลินสวินก็เก็บผลึกต้นกำเนิดมหามรรคได้จำนวนหนึ่งแล้ว

ของล้ำค่าเช่นนี้ รูปร่างไม่ซ้ำ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ล้วนโปร่งแสงวาววับ แผ่พลังมหามรรคบริสุทธิ์ ก้อนที่ขนาดเท่าหัวแม่มือก็เทียบได้กับผลึกมรรคหนึ่งหมื่นก้อนแล้ว น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ

หลินสวินลองหลอมมันก้อนหนึ่ง และสังเกตเห็นทันทีว่าผลึกต้นกำเนิดมหามรรคไม่เพียงช่วยเติมเต็มพลังที่เหือดหาย ยังมีมีประโยชน์ยิ่งต่อพลังมหามรรคที่ตนครอบครองอีกด้วย!

นี่กลับทำให้เขาอดคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่บรรจุเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดินั่น ยังจะซุกซ่อนความเร้นลับที่น่าตื่นตะลึงระดับไหนอีก

สวบ!

หนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงสายหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า กวาดผ่านห้วงอากาศไกลๆ ในโลกมืดมนที่ขมุกขมัวนี้ เห็นได้ชัดว่าสะดุดตาหาใดเปรียบ

“มีสมบัติตกหล่นปรากฏขึ้นอีกแล้ว!”

ป๋อชวนตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น “พี่หลิน พวกเรานี่โชคไม่เลวเลย เจอกับศุภโชคชิ้นหนึ่งเข้าแล้ว! ไป รีบไปเก็บมันกัน หาไม่ถูกผู้อื่นฉกฉวยไป เช่นนั้นคงน่าเสียดายแย่”

สวบ!

ขณะพูดเขาก็เคลื่อนย้ายเต็มกำลังทะยานไป

สมบัติตกหล่นหรือ

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก เขาเองก็สังเกตเห็นว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราวสายนั้นค่อนข้างไม่ธรรมดา พอมองเห็นอยู่รำไรว่านั่นเป็นกระถางสมบัติสีเขียวขนาดหนึ่งฝ่ามือ ยามโฉบบินหลั่งรินละอองแสงมหามรรคงามวิจิตรออกมา ทอประกายแวววาวน่าตื่นตาตื่นใจ

ขณะใคร่ครวญหลินสวินก็พุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน

“เก็บ!”

ป๋อชวนเรียกแส้อ่อนสีทองอร่ามเส้นหนึ่งออกมา เหวี่ยงกระหวัดไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็เกี่ยวรัดกระถางสมบัติสีเขียวนั่นไว้ได้

ทว่ายังไม่ทันให้ป๋อชวนดีใจ กระถางสมบัติสีเขียวใบนั้นก็แผ่คลื่นน่าตกใจออกมา ส่งเสียงวู้มคราหนึ่งแล้วหลุดออกจากกลางแส้อ่อนสีทองนั่นอย่างง่ายดาย เผ่นหนีออกไปไกลลิ่ว เห็นชัดว่ามีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

“สมบัติดี!” ดวงตาหลินสวินทอประกายวาบ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์