Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2114

ตอนที่ 2114 ป๋อชวนถูกหยาม

กระถางสมบัติสีเขียวมีประกายเทพหมุนวน โชติช่วงงดงาม ขนาดราวฝ่ามือ ทว่ากลับมีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม พริบวาบเบาๆ คราหนึ่งก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศหนีไป

ป๋อชวนร้อนรน นี่ย่อมเป็นสมบัติมรดกชิ้นหนึ่งที่จะพบได้เป็นแน่ หากพลาดไปแล้วคราวหน้าไม่รู้ว่าจะได้พบเจออีกเมื่อไหร่

สามสิบเก้าปีที่ฝึกปราณอยู่ที่ชั้นหนึ่งนี้ ป๋อชวนเคยพบเห็นการปรากฏของสมบัติมรดกทั้งหมดเพียงแค่สี่ครั้งเท่านั้น น่าเสียดายที่ทำได้เพียงแค่พบเห็น ไม่มีโอกาสเข้าไปช่วงชิงแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้… ไม่เหมือนกันนี่!

เขาตั้งท่าจะลงมือ ก็เห็นเชือกที่แผ่แสงสีทองบาดตาเส้นหนึ่งพุ่งโฉบกลางอากาศ อ้อมเบาๆ ในห้วงอากาศแล้วเกี่ยวรัดกระถางสมบัติสีเขียวนั้น

เฉกเช่นเหยื่อที่ถูกพันธนาการ ไร้ซึ่งหนทางขยับเขยื้อนอีกแม้แต่น้อย

สวบ!

จากนั้นกระถางสมบัติสีเขียวรวมทั้งเชือกสีทองอร่ามนั่นก็ตกอยู่ในมือหลินสวิน

เชือกสีทองคือเชือกทองคล้องสมบัติ ทรัพย์หลังศึกชิ้นหนึ่งที่หลินสวินชิงมาจากมือหวงฝู่เซ่าหนงยามอยู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ

ของสิ่งนี้เป็นมหาสมบัติพิทักษ์สำนักเรือนมรรคจักรวาล เหมือนกับเหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่นในตำนาน มีชื่อเรื่องสามารถพันธนาการสมบัติจักรพรรดิมากมายบนโลกได้ มหัศจรรย์ไร้สิ้นสุด

ตอนนั้นเชือกทองคล้องสมบัตินี่ถึงขั้นจะพันธนาการประทับไร้ชีพเอาไว้ในพริบตาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง หลินสวินต้องเรียกเจดีย์มรรคไร้สิ้นสุดออกมาจึงสยบสมบัติชิ้นนี้ลงได้

หลินสวินเก็บเชือกทองคล้องสมบัติแล้วพินิจดูกระถางสมบัติสีเขียว ขนาดเท่าฝ่ามือ ใสดุจกระจก ตัวกระถางเผยให้เห็นรอยสลักลายมรรคโดยธรรมชาติชั้นหนึ่ง แวววาวโปร่งแสง

ทว่าที่น่าเสียดายคือกระถางใบนี้ขาตั้งขาดไปหนึ่ง ปากกระถางก็มีรอยเว้าแหว่งแตกร้าวหนึ่งรอย ทำลายความงามอันควรจะมีแต่เดิมของกระถางใบนี้ยิ่งยวด

“สมบัติดียิ่งนัก” ป๋อชวนเดินเข้ามา ตาแทบจะแปะติดอยู่บนกระถางสมบัติสีเขียว ใบหน้าเต็มไปด้วยแววอิจฉาอย่างคุมไม่อยู่

พริบตาเดียวสมบัติก็เป็นหญิงงามมีเจ้าของแล้ว แม้เขาจะอิจฉาแค่ไหนก็ไม่กล้าแย่งชิงกับหลินสวิน

“ให้เจ้าแล้วกัน”

หลินสวินโยนออกไปลวกๆ คราหนึ่ง กระถางเล็กสีเขียวลอยไปทางป๋อชวน

หลังจากฝ่ายหลังคว้ารับมือไม้เป็นพัลวันก็อดอึ้งไปไม่ได้ “ให้ข้าหรือ” สีหน้ายากจะเชื่อ

“ข้าไม่ได้ใช้ประโยชน์”

หลินสวินพูดง่ายๆ กระถางเล็กสีเขียวใบนี้เรียกได้ว่าวิเศษอัศจรรย์จริงๆ แม้จะมีจุดบกพร่องไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าสมบัติจักรพรรดิธรรมดาทั่วไปจะเทียบชั้นได้

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ต่อให้เก็บกระถางนี้ไว้ ใช้ได้ไม่นานก็จะกลายเป็น ‘อาหาร’ ของวิญญาณดาบหักและอู้เชวียอยู่ดี

แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้มอบให้ป๋อชวนยังจะดีกว่า ถือว่าเป็นการตอบแทน ‘คำแนะนำ’ ก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย

ป๋อชวนสั่นไหวไปทั้งร่าง ตื่นเต้นเกินไปจนอดกล่าวออกไปไม่ได้ “พี่หลิน สมบัติมรดกในนรกอำพรางนี้ไม่ธรรมดา แทบจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือไว้ตั้งแต่ช่วงต้นดึกดำบรรพ์”

“หากเป็นสมบัติทั่วไปจะถูกกัดกร่อนจากกาลเวลาไร้สิ้นสุด จิตวิญญาณดับสูญ แหลกสลายไปนานแล้ว แต่การที่ยังดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ ซ้ำยังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ศาสตราจักรพรรดิธรรมดาจะเทียบได้เลย!”

“เจ้า… จะให้ข้าจริงหรือ” ราวกับว่าเขายังไม่ยากเชื่อ

หลินสวินยิ้มกล่าว “ให้เจ้ารับไว้ก็รับไปเถอะ ไฉนต้องมาพูดไร้สาระเช่นนี้เล่า”

คราวนี้ป๋อชวนจึงกล้ามั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง

เพียงแต่ขณะที่เขากำลังจะเก็บสมบัตินี้ไป จู่ๆ เสียงเย็นเยียบสายหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ห่างไกล

“ป๋อชวน สมบัติชิ้นนั้นถูกข้าจับจ้องมานานแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ทำให้มันยอมศิโรราบได้ ตอนนี้… ส่งมันมาซะ”

ไกลออกไปเงาร่างไม่กี่สายแปลงเป็นรุ้งเทพเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเข้ามา สามชายสองหญิง ต่างก็มีกลิ่นอายแข็งแกร่ง อานุภาพดุดันยิ่ง มีเพียงผู้ที่ผ่านการต่อสู้เข่นฆ่ามานานเท่านั้นถึงจะสามารถครองอานุภาพระดับนั้นได้

ผู้พูดคือชายชุดม่วงที่เป็นผู้นำ เท้าเหยียบดาบศึกสีเลือดเล่มหนึ่ง รูปร่างกำยำผึ่งผาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเฉยชา

พวกเขาทั้งกลุ่มเพิ่งมาถึงก็จ้องไปที่กระถางสมบัติสีเขียวในมือป๋อชวนเขม็ง ล้วนเผยแววร้อนเร่าออกมาอย่างอดไม่ได้

“หลิ่วเซี่ยว อะไรที่เรียกว่าสมบัติที่เจ้าจับจ้องก็เป็นสมบัติของเจ้า” ใบหน้าป๋อชวนอึมครึมลง

แม้ว่าเขากับพวกหลิ่วเซี่ยวจะมาจากหอวิหคทองแดงเหมือนกัน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่เรียกว่าดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนรกอำพรางนี้ ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอยู่เนืองๆ

เรื่องอย่างการแย่งชิงสมบัตินี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ตราบใดที่ไม่ฆ่าคน หอวิหคทองแดงก็จะไม่ยุ่งกับหยุมหยิมเหล่านี้

หลิ่วเซี่ยวสีหน้าราบเรียบ เอ่ยว่า “ป๋อชวน ข้ารู้ว่าใจเจ้าไม่ยินยอม เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเองก็จะไม่ให้เจ้าเสียแรงเปล่า ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคสิบก้อนนี้เจ้าเก็บไปซะ ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้ากำราบสมบัติก็แล้วกัน”

ขณะพูดเขาดีดนิ้วคราหนึ่ง ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคส่องประกายแวววาวแถวหนึ่งโฉบออกมา ไม่มากไม่น้อย สิบก้อนพอดี ม้วนกลิ้งไปบนพื้นตรงหน้าป๋อชวน

“แค่ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคสิบก้อน ก็คิดจะแลกกับสมบัติมรดกที่วิเศษมหัศจรรย์ยิ่งชิ้นหนึ่งรึ!?” สีหน้าป๋อชวนเขียวคล้ำ โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร “หากข้าไม่ยินยอมเล่า”

หลิ่วเซี่ยวยิ้ม ชายหญิงที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้นก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน รอยยิ้มฉายแววนึกสนุก เวทนาปนเหยียดหยาม

ล้วนแต่เป็นระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ พบเจออันตรายต่างๆ ในโลกจนชินตา ใครบ้างจะไม่เข้าใจว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

ท่าทีของป๋อชวนในตอนนี้ก็แค่ไม่ยินยอมเท่านั้น

หลินสวินเองก็มองจุดนี้ออกเช่นกัน

เขาถึงขั้นรู้ดียิ่งว่าเรื่องพรรค์นี้พบเห็นได้บ่อยนัก ทั้งทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา แทบทุกแห่งหนล้วนพบเจอเรื่องเห็นทรัพย์ต้องใจก็ห้ำหั่นแย่งกันได้ตลอด

ทว่าจุดสำคัญคือ กระถางสมบัติสีเขียวมรกตใบนี้ เป็นกระถางสมบัติที่หลังจากเขากำราบได้แล้วยกให้แก่ป๋อชวน!

ยามนี้ป๋อชวนเองก็มองไปยังหลินสวิน สีหน้าจนหนทาง ทั้งโมโหทั้งไม่เต็มใจ

“ทำไม คิดจะลากสหายข้างกายเจ้าคนนี้มาเอี่ยวด้วย ดูว่าจะรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ได้หรือไม่รึ”

หญิงที่เรือนร่างเย้ายวน ผิวพรรณราวหิมะ ริมฝีปากแดงดั่งเปลวเพลิงคนหนึ่งเอ่ยปาก ดวงตาชุ่มฉ่ำสะกดใจคน

ชายผอมแห้งอีกคนเอ่ยขึ้น “สหายผู้นี้ดูแล้วแปลกหน้ายิ่ง เพิ่งมากระมัง ข้าขอเตือนเจ้าว่าอยู่ห่างๆ จากป๋อชวนไว้เป็นดีที่สุด หลายปีก่อนเจ้านี่ล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกินคนหนึ่ง ตอนนี้ในนรกอำพรางไม่มีใครกล้าร่วมเดินทางกับเขาอีก”

นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ชั่วขณะเดียวสายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินล้วนเจือแววกริ่งเกรงและหวาดหวั่น ไม่กล้าคิดว่านี่จะเป็นพวกแข็งแกร่งขนาดไหน

สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง พาป๋อชวนเดินห่างออกไป

คนอย่างพวกหลิ่วเซี่ยว อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ถึงขั้นมีรากฐานพลังที่สามารถทำให้ขุมอำนาจใหญ่ใดๆ ก็ตามต่างให้ความสำคัญ

แต่ในสายตาหลินสวิน หากอยู่ในโลกภายนอก คนพวกนี้คงถูกเขาฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

ชิ้ง!

เสียงดาบครวญใสสายหนึ่งดังขึ้น ปราณดาบเจิดจ้าคดโค้งดุจอสนีบาตโฉบพุ่ง ฟันใส่ด้านหลังของหลินสวิน ปราณดาบเย็นเยียบ เจิดจ้าบาดตา

หลินสวินไม่เหลียวหลังด้วยซ้ำ ทั่วร่างปรากฏพลังที่ดุจเหวลึก บดขยี้ปราณดาบสายนี้อย่างง่ายดาย

ผู้ลอบโจมตีคือหลิ่วเซี่ยว ยามมองเห็นภาพนี้ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รีบเคลื่อนย้ายเผ่นหนีไปไกลโดยไม่ลังเลสักนิด

ฉึก!

แต่สิ่งที่เร็วกว่าเขาคือปราณกระบี่ที่พร่างพราวบาดตาสายหนึ่ง พริบวาบเบาๆ กลางห้วงอากาศ ก็เสียบทะลุอกเขาเป็นโพรงเลือดโพรงหนึ่ง ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา

พริบตาเดียวเขาเกือบสงสัยว่าตนคงตายแน่แล้ว ปราณกระบี่นั้น… ไร้ทัดเทียมโดยสมบูรณ์ ดุดันถึงขั้นทำให้เขาสิ้นหวัง

“หากอยากตายนักเจ้าก็ทำต่อสิ” ไกลออกไปหลินสวินเอ่ยเรียบๆ

หลิ่วเซี่ยวสั่นเทิ้มทั่วร่าง สีหน้าวูบไหวไปมา ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่ขนพองสยองเกล้าสุดขีด เงียบกริบประหนึ่งจักจั่กหน้าหนาว

จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายลับไปจากสายตา พวกเขาก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ถูกแต่ละภาพก่อนหน้านี้ทำให้ตกใจเข้าแล้วจริงๆ

“ไป!” เนิ่นนานกว่าหลิ่วเซี่ยวจะหยัดกายขึ้น เอ่ยปากด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

“ไปไหน” หญิงงามเย้ายวนถามขึ้น

“ไปหาศิษย์พี่เมิ่งซิงจื่อ!” หลิ่วเซี่ยวกัดฟันกรอด เอ่ยเน้นทีละคำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววอาฆาตชิงชัง

และพร้อมกันนั้นป๋อชวนที่เดินทางมากับหลินสวินก็อ้าปาก ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกหลินสวินเอ่ยตัดบท

“ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า ผิดที่พวกเขาขวางทางเท่านั้น”

ป๋อชวนสีหน้าซับซ้อน แต่ก็ยังคงเอ่ยต่อ “พี่หลิน เรื่องก่อนหน้านี้ที่พวกเขาพูดนั้นไม่ผิด หากเดินทางไปกับข้า กลับจะทำให้เจ้าถูกมองเป็นศัตรูได้ พวกเรา… แยกทางกันดีกว่า! บุญคุณที่ช่วยเหลือและที่มอบสมบัติให้ครั้งนี้ ภายหน้าข้าป๋อชวนจะพยายามชดใช้คืนให้สุดกำลัง!”

ขณะพูดเขาก็หมุนตัวหมายจะจากไป

เขาไม่อยากก่อปัญหาให้หลินสวิน

…………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์