Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2410

สรุปบท ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอน ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง

เจ้าอ้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบใจแล้วจึงเล่าความเป็นมาของคนกลุ่มนั้น

เขตแดนดารานภา

มิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนของประตูข้ามแดนปฐพีมากที่สุด จัดอยู่ในอันดับห้าของโลกพันจักรวาล อารยธรรมด้านการฝึกปราณเจิดจรัสและรุ่งเรืองเป็นประวัติการณ์

ในโลกจักรวาลกว้างใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยเผ่าจักรพรรดิ สำนักนับไม่ถ้วน ไม่ได้มีแค่ระดับบรรพจารย์ปรากฏตัวต่อเนื่อง ถึงขั้นยังมีบุคคลชั้นเลิศระดับอมตะมากมายควบคุมดูแล

และในขุมอำนาจนับไม่ถ้วนนี้ก็มี ‘เรือนกระบี่ต้าเหิง’ เป็นผู้นำ!

เบื้องลึกเบื้องหลังของเรือนกระบี่ต้าเหิงน่าหวาดกลัวถึงระดับใด

หลายปีมานี้ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมีมากนับร้อยคน ในสำนักไม่ได้มีระดับอมตะควบคุมดูแลแค่คนเดียว

แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็มีบุคคลแห่งยุคที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมากมาย!

ชายหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ก็มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง ซ้ำฐานะยังสูงส่งอย่างยิ่ง เป็นถึงทายาทของระดับอมตะคนหนึ่ง นามว่า ‘ฟางเสวียนเจิน’ ฉายา ‘จักรพรรดิกระบี่เสวียนเจิน’ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ได้เก้าพันปีแล้ว ปัจจุบันเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดคนหนึ่ง

เหล่าระดับจักรพรรดิที่อยู่ข้างกายฟางเสวียนเจินล้วนมาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง

เรือนกระบี่ต้าเหิงคือสำนักอันดับหนึ่งในเขตแดนดารานภา ส่วนเขตแดนดารานภาก็เป็นมิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนที่สุด

พูดอย่างไม่เกินจริง ในเมืองข้ามแดนนี้เรือนกระบี่ต้าเหิงก็มีอิทธิพลอย่างมาก!

ในฐานะที่เจ้าอ้วนเป็นเจ้าถิ่นที่คบค้าสมาคมอยู่ในเมืองนี้มานานปี แน่นอนว่าต้องรู้ชัดถึงความน่ากลัวของเรือนกระบี่ต้าเหิง ทั้งรู้ดียิ่งกว่าใครว่าฐานะของฟางเสวียนเจินสูงส่งเพียงใด

แต่เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินแค่ร้องอ้อคราหนึ่งแล้วไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก

สำนักอันดับหนึ่งของเขตแดนดารานภาอะไร ทายาทของระดับอมตะอะไร เขาไม่ใส่ใจแต่แรก ต่อให้ฟางเสวียนเจินเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งก็ไม่ทำให้ในใจหลินสวินไหวหวั่นสักนิด ถึงขั้นอยากหัวเราะอยู่บ้าง

ฝึกปราณมาเก้าพันปี เพิ่งเป็นแค่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดเท่านั้น

ส่วนเขาหลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปแค่ร้อยกว่าปี…

เห็นว่าหลินสวินไม่ใส่ใจ เจ้าอ้วนกลับร้อนรนอยู่บ้าง รีบกล่าวเตือน “ผู้อาวุโส จากมุมมองของข้า ท่านรับปากทำการค้ากับฟางเสวียนเจินนั่นดีกว่า ขอพูดตามตรง หากท่านไม่ใช่ระดับจักรพรรดิ เมื่อครู่นี้… คงได้ตายไปแล้ว!”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเมืองข้ามแดนนี้ห้ามก่อเรื่องฆ่าฟันกันหรือ”

เจ้าอ้วนหัวเราะแหะคราหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบอย่างรวดเร็วแล้วสื่อจิตเสียงเบา ‘นั่นต้องแบ่งแยกคน ในสถานการณ์ทั่วไปแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ แต่ฐานะของฟางเสวียนเจินต่างออกไป ความสัมพันธ์ของเรือนกระบี่ต้าเหิงกับจวนเจ้าเมืองก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ฟางเสวียนเจินฆ่าคนในเมือง ทูตพิทักษ์เมืองก็ต้องหลับตาข้างลืมตาข้าง’

หลินสวินพยักหน้า ‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’

‘แน่นอนว่าต่อให้ฟางเสวียนเจินใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าลงมือกับระดับจักรพรรดิโดยง่าย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถูกระดับจักรพรรดิทั้งเมืองต่อต้าน’

เจ้าอ้วนคิดไปคิดมาแล้วกล่าว ‘แต่อย่าล่วงเกินคนแบบนี้ดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สุดท้ายก็ต้องเกิดหายนะ’

หลินสวินขานรับว่าอืมคำหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ เขาใช้เวลาไม่นานก็จะออกจากเมืองข้ามแดนแล้ว มีหรือจะใส่ใจเรื่องพวกนี้

‘ไป ไปดื่มชาที่หอโลกธรรมแปดพินิจนภากัน’ หลินสวินพูดพลางเดินนำไปก่อนแล้ว

หอโลกธรรมแปดพินิจนภา ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ซึ่งข่าวไวที่สุดในเมืองข้ามแดน นอกจากจิบชาที่นั่นแล้ว ยังสืบข่าวมากมายได้ด้วย

เพียงแต่ค่าใช้จ่ายของสถานที่นั้นมีราคาแพงหาใดเปรียบ หากไม่จำเป็นระดับจักรพรรดิธรรมดาก็จะมุ่งหน้าไปน้อยมาก

เจ้าอ้วนถูกดึงดูดดังคาด นำทางไปข้างหน้าอย่างปลื้มปริ่ม ระดับอริยะอย่างเขาที่คบค้าสมาคมในเมืองมาหลายปี ยังไม่เคยไปหอโลกธรรมแปดพินิจนภาสักครั้ง

ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่มีเงิน ฐานะก็ต่ำต้อยเกินไปด้วย…

ขณะเดียวกัน ณ จวนเจ้าเมือง

ในเรือนใหญ่สง่างามเก่าแก่ ทูตพิทักษ์เมืองอย่างบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยืนไพล่หลัง

เขาสวมชุดสีหยก สวมเกี้ยวประดับสูงเข็มขัดใหญ่ หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม เงาร่างสูงชะลูด มีเพียงริ้วรอยตรงหางตาที่แฝงกลิ่นอายแห่งกาลเวลา

เบื้องหน้าเขามีภาพมรรคกางอยู่ บนนั้นถึงกับสะท้อนภาพทั่วเมืองข้ามแดนออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งเมื่อนิ้วมือของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนชี้ไปจุดใด เหตุการณ์ตรงตำแหน่งในภาพมรรคนี้ก็จะขยายใหญ่หลายเท่าทันที สะท้อนภาพโดยละเอียดออกมา

ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือในภาพมรรคนั้น สิ่งที่สะท้อนก็คือภาพที่เกิดขึ้นในเมืองยามนี้ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ เจริญรุ่งเรืองครึกครื้น

ผ่านไปครู่ใหญ่บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถอนสายตากลับแล้วเอ่ยถาม “ระดับจักรพรรดิที่เข้าเมืองและได้รับป้ายยืนยันช่วงหนึ่งเดือนมานี้มีกี่คนแล้ว”

ข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้างมาตลอดกล่าวด้วยความเคารพ “รายงานใต้เท้า รวมแล้วมีหนึ่งร้อยสิบเก้าคนขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันมุ่นคิ้ว ในเมืองข้ามแดนนี้ทุกวันมีระดับจักรพรรดิรวมตัวกันมากเพียงใด แต่ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว คนที่แจ้งว่าจะมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกกลับมีแค่ร้อยกว่าคน จำนวนนี้ไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือ

ข้ารับใช้ชราอธิบายเสียงเบา “ใต้เท้า ท่านก็รู้ว่าระดับจักรพรรดิบนโลกนี้ไม่ได้มีความกล้าไปบุกแดนใหญ่พันศึกกันทุกคน ในสิบคนก็ไม่เห็นว่ามีสักคนที่กล้าไป ถึงอย่างไรสถานที่นั้นก็อันตรายเกินไป เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกล่าวตัดบท “ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าในหมู่ระดับจักรพรรดิที่ลงชื่อมาพวกนี้ มีคนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาเท่าไหร่”

ข้ารับใช้ชราลังเลเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้คนที่ตรวจสอบได้ น่าจะมีสิบสามคนขอรับ”

เขากำลังจะพูดอะไรต่อ บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันออกคำสั่งไล่แขก “หากไม่มีเรื่องอื่นหลานชายก็รีบกลับไปเถอะ”

ฟางเสวียนเจินประสานมือกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

เขาหันหลังจากไป กระทั่งก้าวออกจากจวนเจ้าเมือง ใบหน้าหล่อเหลาที่ราบเรียบนิ่งสงบนั้นจึงปรากฏแววอึมครึม

แค่บรรพจารย์จักรพรรดิที่ไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่ได้มาจากตระกูลเฮ่อแห่งฟากฝั่ง มีหรือจะกล้าปฏิเสธตนเช่นนี้

ฟางเสวียนเจินสูดหายใจเข้าลึกๆ สื่อจิตบอกระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่อยู่ข้างกาย ‘จับตาดูเจ้าหมอนั่นให้ดี ลงมือในเมืองข้ามแดนไม่ได้ เช่นนั้นก็รอเมื่อเขาจากไปค่อยลงมือ!’

‘ขอรับ’

ทุกคนต่างรับคำสั่ง

ในจวนเจ้าเมือง บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยิ้มหยัน แค่ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเรือนกระบี่ต้าเหิงเท่านั้น บิดาเป็นระดับอมตะแล้วอย่างไร

ในสายตาของตระกูลเฮ่อก็เป็นแค่คนธรรมดา!

“เด็กๆ ไปตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายที่ถูกฟางเสวียนเจินจับจ้องเป็นใคร หากเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งจริงก็สืบความเป็นมาของอีกฝ่ายมาด้วย”

ไม่นานบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็ออกคำสั่ง

เขาเป็นทูตพิทักษ์เมืองที่ตระกูลเฮ่อส่งมาควบคุมดูแลเมืองข้ามแดน ตัวเขามีแค่ภารกิจเดียว นั่นก็คือในช่วงสามพันปีที่ตระกูลเฮ่อครอบครองเมืองข้ามแดนนี้ ต้องค้นหาบุคคลเจิดจรัสกลุ่มหนึ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ตระกูลเฮ่อได้

ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง คุ้มครองระดับจักรพรรดิทุกคนให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นวิธีสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและชื่อเสียงของตระกูลเฮ่ออย่างหนึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามีหรือจะทำลายกฎภายในเมืองเพื่อฟางเสวียนเจินคนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ฟางเสวียนเจินอยากจัดการยังเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งด้วย!

หากเขารับปากเรื่องนี้จริง เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทูตพิทักษ์เมืองอย่างเขาไม่เพียงแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ยังจะทำให้ตระกูลเฮ่อที่อยู่เบื้องหลังเดือดร้อนและเสื่อมเกียรติด้วย

ภายหน้าระดับจักรพรรดิคนไหนจะกล้ามาเมืองข้ามแดนอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะค้นหาบุคคลร้ายกาจให้ตระกูลเฮ่อได้อย่างไร

‘ฟางเสวียนเจิน หากเจ้ากล้าไม่สนคำค้านของข้า ลงมือตามใจในเมือง ถึงตอนนั้นต่อให้บิดาของเจ้าออกหน้า… ก็ช่วยเจ้าไม่ได้!’

นัยน์ตาของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนฉายแววเยียบเย็นรางๆ

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์