ยังไม่ทันลืมตา หลินสวินก็ได้กลิ่นกายที่หอมละมุนอ่อนๆ ดุจกล้วยไม้ สดชื่นชวนให้จิตใจเบิกบาน
เพียงแต่หลินสวินไม่ได้รู้สึกเบิกบานเลยสักเสี้ยว ตรงข้ามสภาวะจิตกลับยิ่งย่ำแย่มากขึ้น
เขายังคงหลับตา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ทว่าครู่ต่อมาก็สัมผัสได้ว่า ผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกหัวแทบระเบิดคนนั้นมานั่งลงข้างกายตนอย่างไม่เกรงใจเรียบร้อยแล้ว
“เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินแต่พวกอุดหูขโมยกกระดิ่ง แต่ยังไม่เคยเห็นเจ้าคนที่หลับตาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้”
เสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้น เจือกลิ่นอายเหน็บแนม
หลินสวินอดถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่งไม่ได้ ลืมตาขึ้น เอี้ยวศีรษะมองดูใบหน้ายิ้มละไมที่ประณีต งดงาม โดดเด่น ขาวกระจ่างนั้นแล้วเอ่ยว่า “นี่เรียกกว่าตาไม่มองใจไม่กลุ้ม”
โฉมงามอรชรที่สวมชุดสีเขียวแต่งกายเป็นชายผู้นี้ ย่อมเป็นตู๋กูโยวหรัน
นางยิ้มแฉ่ง เผยเรียวฟันที่ขาวใส ดวงตาสองข้างโค้งขึ้น กล่าวว่า “แต่ตอนนี้เจ้าลืมตาแล้ว”
“ดังนั้นตอนนี้ข้ากลุ้มใจอยู่” หลินสวินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
ตู๋กูโยวหรันเลิกคิ้วดกดำขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าเบิกบานก็พอแล้ว”
หลินสวินหมดคำจะพูด หลับตาลงอีกครั้งเอาดื้อๆ
เหตุที่เขารีบร้อนจากมาแต่เนิ่นๆ เช่นนี้ เดิมก็เพื่อจะหลีกหนีตัวปัญหาอย่างตู๋กูโยวหรัน ใครจะไปคิด ยังถูกตามติดมาจนได้!
เวลานี้อยู่บนเรือกระสวยสุริยันจันทราแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีไปอีก
พอเห็นอาการต่อต้านของหลินสวิน ตู๋กูโยวหรันกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย พูดเองเออเอง
“เมื่อคืนข้าหยิบยืมพลังจำนวนหนึ่งแสดงจุดยืนของข้าต่อตระกูลจู้ชัดเจนแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าตระกูลจู้จะส่งคนมาจัดการเจ้าอีก”
หลินสวินอึ้งไป แต่ยังคงหลับตาอยู่
เขาไม่กลัวปัญหา แต่กลัวว่าจะมีปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อน
และตู๋กูโยวหรัน… ก็คือต้นตอของความวุ่นวาย เป็นหายนะชิ้นใหญ่!
“หลิงเสวียนจื่อ ขืนเจ้ายังไม่ยอมลืมตามาอีก ข้าจะตะโกนเปิดโปงฐานะของเจ้าซะ” ตู๋กูโยวหรันกล่าว
หลินสวินลืมตาขึ้นดังคาด เพียงแต่สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง จ้องหญิงสาวข้างกายที่ผุดผ่องดุจจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า กล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวว่าเมื่อข้าโมโหจะกำราบเจ้าไปด้วยหรือ”
ตู๋กูโยวหรันหดศีรษะทันที เดาะลิ้นกล่าว “ร้ายกาจนัก ยังคิดกำราบข้าด้วย ตอนนี้ข้าควรกรีดร้องดีหรือไม่”
หน้าผากหลินสวินล้วนปรากฏความเหลืออด
“เอาล่ะ แค่หยอกเจ้าน่ะ เจ้าอย่าโมโหเลย” ตู๋กูโยวหรันยิ้มเจิดจ้ายิ่ง ดวงตาล้วนโค้งยิ้ม
ก็เป็นเวลานี้ที่เสียงร้องยินดีสายหนึ่งดังขึ้น “โยวหรัน เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูโยวหรันพลันชะงักค้างทันที
ร่างสูงเพรียวแบบบางล้วนแข็งทื่อ
ท่าทางเปล่งประกายสดใส และรอยยิ้มร่าเริงก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นกัน
หลินสวินเกือบหัวเราะออกมา เจ้าก็มีวันนี้กับเขาด้วยหรือ
ผู้ที่มาก็คือเผิงเทียนเสียงที่หลงใหลคลั่งไคล้ตู๋กูโยวหรันสุดขีด
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้นทันที กล่าวเชื้อเชิญเผิงเทียนเสียงที่เพิ่งเดินเข้ามาในเรือกระสวยสุริยันจันทราอย่างขมีขมัน “พี่เผิง มาๆๆ นั่งตรงนี้”
เขาขยับที่นั่งให้ตรงๆ
ตู๋กูโยวหรันเพิ่งตั้งท่าจะหยัดตัวขึ้น ก็ถูกหลินสวินกดไหล่ให้นั่งกลับไป “พวกเจ้าเป็นคนรู้จักเก่าก่อน ในเมื่อทุกคนพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ ย่อมต้องพูดคุยกันดีๆ”
เผิงเทียนเสียงมองหลินสวินอย่างซาบซึ้งปราดหนึ่ง แล้วนั่งลงตรงตำแหน่งที่หลินสวินเคยนั่งอยู่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮ่า ช่างบังเอิญยิ่งจริงๆ พี่จินก็อยู่ นี่ยิ่งดีใหญ่เลย ทุกคนเดินทางพร้อมกัน หนทางนี้ก็ไม่เปล่าเปลี่ยวแล้ว”
หลินสวินก็หัวเราะฮ่าๆ พยักหน้าหงึกๆ นั่งตรงที่นั่งตรงข้าม มองดูตู๋กูโยวหรันที่ห่อเหี่ยวดุจมะเขือยาวตากน้ำค้าง ในใจไม่ต้องบอกว่าสะใจแค่ไหน
ตู๋กูโยวหรันสีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง เนิ่นนานกว่าจะแค่นเสียงเย็นกล่าว “บังเอิญเจอจริงๆ หรือ มีแต่ผีที่เชื่อ”
เผิงเทียนเสียงแม้จะปั้นหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง แต่กลับยังคงกล่าวอย่างขันแข็ง “โยวหรัน ข้าเอามัจฉาบัวสามชุ่นคู่นั้นมาด้วยนะ เจ้ารีบดูเร็ว”
ว่าพลางก็นำน้ำเต้าหยกใบหนึ่งออกมายื่นให้ตู๋กูโยวหรัน
ตู๋กูโยวหรันหลับตาลงตรงๆ กล่าวว่า “ต่อไปยังต้องเร่งเดินทาง ข้าต้องพักผ่อนดีๆ สักหน่อย ไม่มีธุระอะไรก็อย่ารบกวนข้า”
เผิงเทียนเสียงเก็บน้ำเต้าหยกไป แววตาอ่อนโยน กล่าวเสียงนุ่ม “เช่นนั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ มีข้าอยู่ จะไม่ให้คนอื่นมารบกวนเจ้าได้เด็ดขาด”
หลินสวินเห็นเต็มตาว่าตู๋กูโยวหรันคล้ายกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่…
นี่ทำให้เขาเกือบหัวเราะออกมา ยกนิ้วโป้งให้เผิงเทียนเสียงอย่างแนบเนียน
เผิงเทียนเสียงยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง ยืดอกภาคภูมิใจราวได้รับการปลุกขวัญไม่ปาน
“พี่จิน ข้าไปทักทายคนเรือมาแล้ว การโดยสารเรือกระสวยสุริยันจันทราครั้งนี้ สามารถพาพวกเรามุ่งหน้าไปด่านอมตะที่สามได้โดยตรง”
เผิงเทียนเสียงมองหลินสวินแล้วกล่าวยิ้มๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและอันตรายมากมายตลอดเส้นทางนี้ได้แล้ว”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงด่านนภาอมตะที่สามหรือ”
“เร็วหน่อยก็หนึ่งเดือน ช้าหน่อยก็สองเดือน” เผิงเทียนเสียงกล่าวอย่างตรึกตรอง
ในใจหลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ นี่ไม่ได้หมายความว่ายังต้องโดยสารเรือลำเดียวกับตัวปัญหาอย่างตู๋กูโยวหรันอย่างน้อยหนึ่งเดือนหรอกหรือ
และเวลานี้ บนเรือสมบัติก็เดือดปะทุอย่างสมบูรณ์แล้ว เหล่าจักรพรรดิที่โดยสารเรือกระสวยสุริยันจันทราครั้งนี้ต่างยิ้มหน้าชื่นตาบาน
สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและเคราะห์สังหารตลอดเส้นทางนี้ได้ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
ส่วนบุคคลชั้นสูงอย่างเผิงเทียนเสียงก็ได้รับการสรรเสริญเยินยอไม่รู้เท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแม่นางอันเปนที่รักนั่งอยู่ข้างกาย ทั้งตัวจึงล้วนเปล่งปลั่งสดใส
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นตู๋กูโยวหรันหรือหลินสวิน ล้วนเห็นได้ชัดว่าจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ต่างฝ่ายต่างหัวเสีย
สวบ!
ไม่ทันไรเรือกระสวยสุริยันจันทราก็กลายเป็นแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่ง บรรทุกทุกคนแหวกอากาศเคลื่อนออกไป ตลอดทางเป็นอย่างที่เผิงเทียนเสียงว่าจริงๆ ระลอกคลื่นไม่ซัดโหม ไม่ได้ประสบอันตรายใดๆ
เห็นได้ว่าบุคคลชั้นสูงจากเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างเผิงเทียนเสียง ต้องใช้อำนาจของตระกูลตนถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์