ตอนที่ 2539 คำเตือนและไล่ล่า
แดนเซียนว่างเปล่ากว้างขวางยิ่ง ไม่ต่างอะไรจากโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
หลังผ่านด่านแรกศึกครองสังเวียนมา ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนเซียนว่างเปล่าจากสมรภูมิทวยเทพสี่สิบเก้าแห่งเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ มีเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น
จำนวนอาจไม่ถึงขั้นละลานตา
แต่ควรรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้พิชิตชัยเก้าศึกรวดในสมรภูมิทวยเทพ มีแต่คนที่เรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวและยักษ์ใหญ่บนเส้นทางระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น
ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิส่วนหนึ่งยิ่งเฉิดฉายดั่งเทพ!
กล่าวได้ว่าในหมู่ผู้ฝึกปราณสองพันกว่าคน ปราณต่ำที่สุดก็ยังเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด
แน่นอน คนที่สามารถใช้ปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดชิงชัยเก้าศึกรวดได้ นั่นหมายความว่าพลังต่อสู้ของเจ้าตัวต้องพลิกฟ้าและวิปริตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่นอน!
ฉะนั้นในการล่าสัตว์ครั้งนี้ ไม่เฉพาะหลินสวินเท่านั้นที่ระวังตัวและรอบคอบหาใดเปรียบ พวกที่ผาดผยอง วางตัวกร่างเผด็จการตอนอยู่โลกภายนอกเหล่านั้น แต่ละคนก็ยังเก็บงำและเคลื่อนไหวเงียบๆ
นี่ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งแดนเซียนว่างเปล่ายิ่งกดดันและอันตรายมากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนี้หลังปล่อยยันต์สื่อสารออกไป ขบวนพวกกู้ปั้นจวงรอเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็เห็นใต้เวิ้งฟ้าที่ไกลๆ นั่นปรากฏแสงเคลื่อนไหวสว่างแสบตาเป็นสายๆ อย่างต่อเนื่อง
แสงเคลื่อนไหวเหล่านี้โฉบแล่นกลางอากาศ ความเร็วว่องไวยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงบริเวณยอดเขาที่พวกกู้ปั้นจวงซุ่มตัวอยู่
จากนั้นปรากฏเงาร่างสองกลุ่ม แบ่งออกเป็นผู้แข็งแกร่งจากตระกูลลี่และตระกูลอวิ๋น เมื่อรวมตัวกันมีจำนวนถึงสามสิบกว่าคน
หากนับรวมกับพวกกู้ปั้นจวง ลำพังแค่จำนวนคนก็มีมากเกือบห้าสิบคนแล้ว!
ในแดนเซียนว่างเปล่า ย่อมเป็นกำลังพลน่ากลัวที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามวิ่งหนีกันหมดเพียงแค่ได้ยินเสียงแล้ว
“จัดการหลินสวินแค่คนเดียว ต้องให้สามตระกูลจักรพรรดิอมตะอย่างพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันเลยหรือ”
ชายชุดดำคนหนึ่งที่เป็นผู้นำตระกูลลี่เอ่ยขึ้น เขารูปร่างตั้งตรงดุจหอก ใบหน้าดั่งหยกประดับเกี้ยว ยามกะพริบตาดุจดั่งโลกแรกกำเนิด ไอขุ่นใสไหลหลั่ง น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบได้
ข้างหลังเขาสะพายขวานยักษ์จั้งเศษ ตัวเรือนสีดำ ปลายคมสว่างจ้าแสบตา
ลี่เฮิ่นสุ่ย!
ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิจากตระกูลลี่
หากพูดถึงพลังต่อสู้ ยังเหนือกว่าพวกหนานหย่งเชียง กู้ปั้นจวงนัก
กู้ปั้นจวงเม้มปากยิ้ม ดวงตาเรียวชี้อวลเสน่ห์ เรือนกายขาวหิมะเจือความเย้ายวนยิ่งยวดอันไร้รูป เสียงพูดหวานหยด
“พี่เฮิ่นสุ่ย พวกหนานหย่งเชียงยังบรรลัยกันหมด ปราณของท่านแข็งแกร่งไม่กลัวหลินสวินนี่ แต่น้องหญิงอย่างข้ากลัวจะแย่ ช่วยไม่ได้ จึงได้แต่ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านและพี่ลั่วหงเท่านั้นแล้ว”
เสียงหวานหยดย้อยดังผะแผ่วดุจเสียงมารที่ล่อลวงจิตใจ ทำให้กลิ่นอายทั่วร่างของผู้ฝึกปราณที่เพิ่งมาถึงเหล่านั้นล้วนปั่นป่วนไปชั่วขณะ เลือดลมแล่นร้อน ปากแห้งคอเหนียว
สตรีนางนี้เป็นมหันตภัยชัดๆ!
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ไหวติง
นั่นก็คืออวิ๋นลั่วหงที่ถูกกู้ปั้นจวงเรียกว่า ‘พี่ลั่วหง’ คนนั้น ผู้นำคนตระกูลอวิ๋น และเป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์สง่าสีขาวหิมะ เงาร่างสูงกำยำ นัยน์ตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายคมกริบชวนให้คนใจสะท้าน ดุจดั่งกระบี่เทพแทงทะลุชั้นเมฆ เหยียดหยันเก้าฟ้าเล่มหนึ่ง
“เจ้านั่นอยู่ไหน”
อวิ๋นลั่วหงไม่พูดพร่ำเพรื่อ เอ่ยถามตรงๆ เสียงดุจกระบี่ครวญดังชิ้ง ราวกับสามารถฉีกกระชากดวงจิตและแก้วหูของผู้คนได้
“ไม่หารือแผนรับมือกันก่อนสักหน่อยหรือ” ดวงตาสุกใสของกู้ปั้นจวงกะพริบปริบๆ
“พวกเราสามตระกูลรวมกัน สามารถกวาดล้างทั้งแดนเซียนว่างเปล่า ยังต้องใช้แผนรับมืออะไรอีก เข้าไปบดขยี้ตรงๆ ก็หมดเรื่อง” ลี่เฮิ่นสุ่ยที่สวมชุดดำสะพายขวานยักษ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในถ้อยคำเต็มไปด้วยความเหยียดหยันและความมั่นใจในตัวเอง
แม้อวิ๋นลั่วหงจะไม่ได้เอ่ยพูด แต่สีหน้าท่าทางเรียบนิ่งเย็นชา ไร้ซึ่งความไหวหวั่น เห็นชัดว่าเขาไม่ค้านข้อเสนอของลี่เฮิ่นสุ่ย
กู้ปั้นจวงคิดเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้มที่สามารถทำให้ทุกคนล้มทั้งยืนออกมา กล่าวว่า “เช่นนั้น… ข้าก็จะฟังพวกท่าน ตามข้ามาเถอะ”
ว่าพลางนางเริ่มนำทางอยู่หน้าสุด
มองดูเงาร่างสูงเพรียวเย้ายวน อรชรชดช้อยของนางเดินไกลออกไป คนไม่น้อยล้วนลำคอแห้งผาก ลอบกลืนน้ำลายกันไปชั่วขณะ
เงาร่างสายหนึ่งเท่านั้น แต่กลับเปี่ยมเสน่ห์ที่ชวนให้คิดไปไกล
กำลังพลของพวกกู้ปั้นจวง ลี่เฮิ่นสุ่ย อวิ๋นลั่วหงยิ่งใหญ่เกรียงไกร น่าตกใจเป็นที่สุด ไม่อาจปิดซ่อนได้สักนิด เพิ่งเคลื่อนขบวนได้ไม่นานก็ทำเอาผู้ฝึกปราณรายทางบางส่วนแตกตื่น ดึงดูดความสนใจยิ่ง
“กองกำลังของสามในสี่ตระกูลตงหวงถึงกับรวมตัวกัน นี่เพื่อไปจัดการหลินสวินนั่นหรือ”
มีคนซ่อนตัวอยู่ไกลๆ ในใจสั่นสะท้าน
“ต้องเป็นเพราะหมายจะจัดการหลินสวินแน่ ก็มีแต่คนร้ายกาจยิ่งยวดระดับนั้น ถึงทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้รวมตัวเคลื่อนขบวนใหญ่โตเช่นนี้ได้ หากจัดการคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้สักนิด”
“ดูท่าการพ่ายแพ้ของตระกูลหนานจะลั่นระฆังเตือนภัย ทำให้สามตระกูลนี้นี่ไม่กล้าชะล่าใจกันแล้ว…”
“จะว่าไปหลินสวินนั่นน่ากลัวจริงๆ แค่คนผู้เดียว ถึงกับสังหารจนคนตระกูลหนานพวกนั้นได้แต่ก้มหัวในสมรภูมิทวยเทพ!”
…เสียงต่างๆ ดังขึ้น แต่ล้วนไม่กล้ารั้งอยู่นาน หลังจากรับรู้การเคลื่อนไหวของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้ ทุกคนล้วนถอยออกไปไกลๆ แต่แรก ไม่กล้าเฉียดใกล้สักนิดด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลง
ควรรู้ว่าที่นี่เป็นถึงแดนเซียนว่างเปล่า ทุกคนต่างเป็นเหยื่อ!
ถ้าเกิดถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลฆ่าตายไปด้วย เช่นนั้นก็ตายอย่างไม่คุ้มค่าเกินไปแล้ว
และพร้อมกับการจากออกไปของผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ข่าวก็ได้แพร่สะพัดออกไปด้วย เหมือนดั่งฝนคะนองหอบม้วนทั่วแดนเซียนว่างเปล่า!
ความแข็งแกร่งของหลินสวิน ฝังลึกในใจผู้คนพร้อมกับการพ่ายแพ้ยับเยินของตระกูลหนานนานแล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่อันตรายสุดขั้ว ไม่อาจวัดได้ด้วยหลักการทั่วไป
และกองกำลังของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างตระกูลลี่ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลกู้ก็ใช่ย่อยเช่นกัน หากร่วมมือกัน นั่นสามารถกวาดล้างทั้งแดนเซียนว่างเปล่า ทำให้คนแค่ได้ยินเสียงก็วิ่งหนีกระเจิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์