Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2940

ตอนที่ 2940 ไม่ชอบมาพากล

ท้องฟ้ามืดลงกะทันหัน กลิ่นอายด่านเคราะห์ไร้รูปแผ่กระจาย กดดันจนคนแทบหายใจไม่ออก

ใต้ฟ้าโหยวเป่ยไห่ยืนมือไพล่หลัง แขนเสื้อโบกสะบัด นิ่งเงียบไม่ไหวติง

รองหัวหออย่างพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนเงยหน้าขึ้นมอง ในใจอดกังวลอยู่บ้างไม่ได้

ด่านเคราะห์ใกล้มาเยือน หัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์ในวันนี้

“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

เสวียนเฟยหลิงถาม

พวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิงล้วนพยักหน้า

นอกจากขั้นหลุดพ้นแล้ว คนอื่นๆ ในลัทธิแรกกำเนิด รวมถึงคนในตระกูลที่อยู่ในแดนแรกเริ่มล้วนถูกพาไปอยู่ในแดนลับแรกฟ้าแล้ว

ในแดนแรกเริ่มตอนนี้รกร้าง ว่างเปล่า และเงียบงันเป็นที่สุด

“ดี จากนี้ไปพวกเราเหล่าผู้ร่วมสำนักขั้นหลุดพ้นขึ้นไปจะปกปักษ์แดนแรกเริ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้ใครมาทำลายการแจ้งมรรคของหัวหน้าหอโหยว”ไอรีนโนเวล

ดวงตาเสวียนเฟยหลิงทอประกายเด็ดขาด

รองหัวหน้าหออื่นๆ ต่างพยักหน้า เริ่มออกเคลื่อนไหว

ส่วนเสวียนเฟยหลิงกลับมุ่งหน้าไปนอกแดนแรกเริ่มเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังกังวลความปลอดภัยของหลินสวิน

ทะเลหมื่นดารา

บนวังกระบี่หมื่นยอด หลินสวินเงยหน้าขึ้นเช่นกัน

ท้องฟ้าปลอดโปร่งถูกเมฆาเคราะห์หนาทึบดำมืดปานน้ำหมึกปกคลุมจนสิ้น ฟ้าดินราวกับจมสู่ความมืดมิดไร้สิ้นสุดในพริบตา

กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่กดดันบีบคั้นเหมือนมีอยู่ทุกที่ ทำเอาทั้งร่างหลินสวินหนาวเยือก

ฟ้าดินเงียบสงัดจนน่ากลัว แม้แต่ทะเลหมื่นดาราที่คลื่นโหมรอบทิศก็ดูเหมือนจมสู่ความเงียบสงบอย่างแท้จริง ไม่มีระลอกคลื่นสักนิด

มีเพียงเมฆเคราะห์ที่ปกคลุมบนท้องฟ้านั่นที่ยิ่งหนาขึ้นทุกที สีท้องฟ้าก็ยิ่งกลายเป็นมืดมิดไปทุกขณะเช่นกัน…

สีหน้าหลินสวินเจือแววเคร่งขรึม

นี่เป็นด่านเคราะห์นิรันดร์ของหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่อย่างไม่ต้องสงสัย น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการได้

ต่อให้ในอดีตหลินสวินเคยผ่านมหาเคราะห์เร้นลับที่คาดไม่ถึงมากมาย ทั้งก้าวข้ามด่านเคราะห์ชั้นเลิศที่เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์ไม่รู้เท่าไร ทว่าตอนนี้ก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี

นิรันดร์!

นี่คือระดับที่เปรียบเสมือนตำนานในสายตาสรรพชีวิตทั่วหล้า

และในสายตาผู้แข็งแกร่งบนมรรคาอมตะ นิรันดร์ก็เหมือนปราการสวรรค์แห่งหนึ่งที่แทบจะปีนข้ามไปไม่ได้!

พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิง ฟางเต้าผิง ตู๋กูยงแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มาไม่รู้กี่หมื่นปี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครแจ้งมรรคนิรันดร์

กรณีเช่นนี้ในหอบรรพจารย์อื่นๆ และในบรรดาสิบยักษ์ใหญ่อมตะเองก็มีให้เห็นกันเกลื่อน

สาเหตุนั้นง่ายมาก

อันที่จริงธรณีประตูแห่งนิรันดร์สูงมากเกินไป สูงถึงขั้นสามารถทำให้ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์พวกนั้นแทบยากจะเอื้อมถึง!

และทันทีที่เข้าสู่ระดับนิรันดร์ ก็ไม่ต้องกลัวภัยพิบัติแห่งยุคสมัยผันเปลี่ยน สามารถใช้และควบคุมกฎระเบียบฟ้าดินได้ นี่ไม่ต่างกับเทพผู้สร้าง!

แม้ตอนนี้หลินสวินเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แล้ว ทว่าการแจ้งมรรคนิรันดร์… กลับไร้วี่แววเช่นกัน

แต่เขาไม่ได้รีบร้อน เขาเพิ่งจะก้าวสู่ธรณีประตูขั้นสัมบูรณ์ ภายหน้ายังมีโอกาสไปเสาะหานัยเร้นลับแห่งการแจ้งมรรคนิรันดร์

ตูม!

ทันใดนั้นเสียงดังลั่นรุนแรงอุบัติขึ้นกลางฟ้าดิน

นี่ไม่ใช่เสียงของอัสนีเคราะห์ เพราะมหาเคราะห์นิรันดร์ที่จ้องเล่นงานโหยวเป่ยไห่ครั้งนี้ยังไม่มาเยือน

หลินสวินสังเกตเห็นว่าพลังระเบียบที่ปกคลุมเหนือทะเลหมื่นดารากำลังเลือนหายไปด้วยความเร็วน่าตกใจ…

‘แม้แต่ระเบียบระดับเทพก็ยังประสบแรงกดดันของกลิ่นอายมหาเคราะห์นิรันดร์ เช่นนั้นด่านเคราะห์ระดับนี้จะน่าหวาดกลัวขนาดไหน’艾琳小說

หลินสวินทอดถอนใจ

จากนั้นเขาก็หันกลับมา ดวงตาดำดุจหุบเหวมองไปทางริมฝั่งทะเลหมื่นดาราไกลๆ

“ซย่าจื้อ”

หลินสวินกล่าวเสียงเบา

ซย่าจื้อที่กำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้น ในดวงตากระจ่างใสคล้ายเขียนคำว่า ‘มีอะไร’

นางดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมหาเคราะห์นิรันดร์ครั้งนี้ที่กำลังจะมาเยือนสักนิด และคร้านจะไปสนใจพลังระเบียบที่ค่อยๆ สลายตัวไปจากทะเลหมื่นดาราด้วย

เหมือนว่าตราบใดที่อยู่ข้างกายหลินสวิน ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลาย คลื่นยักษ์ท่วมฟ้า ล้วนไม่อาจดึงดูดความสนใจของนางได้สักเสี้ยว

“ศัตรูจะมาแล้ว อีกเดี๋ยวรอฟังคำสั่งลงมือจากข้า”

หลินสวินเอ่ยเสียงเบา

ซย่าจื้อขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็เก็บเมล็ดแตงวิญญาณขึ้นมาสองสามเมล็ด นางตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยกำจัดสิ่งน้อยๆ แสนอร่อยพวกนี้หลังจากการต่อสู้จบลง

ซย่าจื้อยืดตัวยืน เงาร่างอรชรยังคงสวมชุดยาวสีดำ ใบหน้างดงามที่สามารถทำให้ฟ้าดินอับแสงซ่อนอยู่ใต้ม่านหมวก

ทวนศึกกระดูกขาวถูกกระชับในมือหยกขาวเรียวบางของนางไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มองไปยังที่ไกลออกไปเคียงไหล่หลินสวิน

ห่างออกไปไกล คลื่นระลอกหนึ่งผุดขึ้นกลางอากาศ กลิ่นอายน่าสะพรึงทะยานขึ้นฟ้าเป็นระลอกคล้ายพายุหมุน ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดกลางฟ้าดิน กลิ่นอายกดดันเย็นเยียบประหนึ่งเขาถล่มสมุทรโหมซัดบดขยี้ผิวทะเลออกมา

คลื่นทะเลที่ซัดสาดยังคงหอบม้วนกึกก้อง สัญญาณความโกลาหลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ

จากนั้นเงาร่างหลายกลุ่มกลายเป็นแสงพร่างพราวทะยานเข้ามาจากไกลๆ แต่ละคนสูงใหญ่อานุภาพร้ายกาจ แสงมรรคอมตะที่แผ่ออกมาทั่วร่างทำเอาฟ้าดินมืดมิดดั่งนิรันดร์นี้สว่างไสว

เงาร่างพวกนี้แบ่งเป็นผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดนำโดยถูมู่หุน และผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานนำโดยจี้คง

คนที่ศักยภาพอ่อนแอ่ที่สุดยังมีมรรควิถีขั้นหลุดพ้นขั้นปลาย!

รวมผู้แข็งแกร่งของสองหอบรรพจารย์แล้วมีมากกว่าร้อยคน เมื่อพลังของพวกเขารวมกัน ทุกที่ที่ผ่านก็เหมือนการพลิกภูเขาคว่ำสมุทร สร้างความปั่นป่วนให้ฟ้าดิน

น่าสะพรึงเกินไป ต่อให้เป็นในน่าฟ้าที่แปด กำลังพลทั้งหมดของสิบยักษ์ใหญ่อมตะรวมตัวกันก็ไม่อาจต้านการโจมตีขบวนทัพระดับนี้ได้

เมื่อเห็นภาพนี้จากไกลๆ สีหน้าหลินสวินกลับยังสงบนิ่งเช่นเคย

ซย่าจื้อนับจำนวนอย่างจริงจังอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “อีกครู่อยากแข่งว่าใครฆ่าได้มากกว่ากันหรือไม่”

หลินสวินอึ้งไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวว่า “อย่าชะล่าใจไป ไพ่ตายในมือพวกเขาย่อมสามารถคุกคามเจ้ากับข้าได้”

เพราะเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของซย่าจื้อจึงทำให้เขากังวลขึ้นมาอยู่บ้าง

“เจ้ากลัวหรือ” ซย่าจื้อถาม

หลินสวินส่ายศีรษะ “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น”

ซย่าจื้อกล่าว “เช่นนั้นเจ้ากับข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันก็พอ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์