ตอนที่ 3166 ไม่รู้ว่าแพ้ได้อย่างไรด้วยซ้ำ – ตอนที่ต้องอ่านของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
ตอนนี้ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 3166 ไม่รู้ว่าแพ้ได้อย่างไรด้วยซ้ำ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 3166 ไม่รู้ว่าแพ้ได้อย่างไรด้วยซ้ำ
โลกภัยพิบัติ
โลกที่ภัยพิบัติเกิดบ่อยครั้ง หายนะชุกชุมใบหนึ่ง
ภัยพิบัติภายในนั้นคือพิบัติเคราะห์มหามรรค ต่อให้เป็นอสนีเคราะห์ที่พบเห็นบ่อยที่สุดยังมีอานุภาพทำลายล้างที่สามารถคุมคามขั้นไร้ขอบเขตได้
และนอกจากอสนีเคราะห์ ยิ่งมีกลิ่นอายเคราะห์ไร้ขอบเขตอย่างลม ไฟ น้ำ ธุลี ล้วนอันตรายหาใดเปรียบ
นับแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดเข้าสู่โลกใบนี้ แทบไม่มีทางลองไปท่องตระเวนและสืบค้นโลกใบนี้ เพราะหายนะที่กระจายกลางฟ้าดินมากมายเกินไปจริงๆ
สวบ!
วันนี้เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศบนที่ราบกว้างขวางแถบหนึ่งของโลกภัยพิบัติ
เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีฝุ่นทรายสีชาดแผ่ครอบฟ้าดินหอบม้วนเข้ามา เสียงหวีดหวิวดุจเสียงปวงเทพร่ำไห้ พาให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
หลินสวินหลบเลี่ยงทันที ถอยห่างไปไกลๆ แต่เพิ่งยืนทรงตัวได้ไม่นานจู่ๆ ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงก็ถล่มครืน กระแสน้ำสีดำระเบิดทะลักออกมาตรงๆ ราวกระแสน้ำเชี่ยว กลิ่นอายที่แผ่คลุ้งออกมาเผยพลังแห่งการกัดกร่อนอันน่าสะพรึง
หลินสวินไม่อาจไม่เคลื่อนที่อีก ในใจยังอดหนาวสะท้านไม่ได้ เคราะห์มรรคของโลกภัยพิบัตินี้ออกจะมากมายเกินไปแล้วกระมัง…
ด้วยพลังของเขาย่อมสามารถสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นพายุฝุ่นทรายสีชาดหรือว่ากระแสสีดำที่ทับถล่มห้วงอากาศนั่น ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สามารถคุกคามขั้นไร้ขอบเขตได้!
พวกทั่วๆ ไปยังไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานและสลายได้
‘ปาไปสิบเดือนแล้ว เกรงว่าป่านนี้ซย่าจื้อคงรอจนร้อนใจแล้วกระมัง…’
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วสงบจิตสัมผัส
ครานั้นยามแยกกับซย่าจื้อที่โลกแปรปุถุชน เขาเคยมอบยันต์อักษรแผ่นหนึ่งให้ซย่าจื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากเขามาถึงโลกภัยพิบัติก็สามารถสัมผัสตำแหน่งของซย่าจื้อได้ในทันที
ครู่ต่อมานัยน์ตาหลินสวินวาววับ เงาร่างเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกไป
…
ซย่าจื้อนั่งสบายๆ บนหินก้อนหนึ่ง ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าเล็กงดงามเผยแววสงบเงียบพิสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ห่างจากนางมีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ลักษณะเขาสูงต่ำ หญ้าต้นไม้ไม่งอกเงย มีพยับหมอกเทาขุ่นแผ่คลุ้งทั่วภูเขาทั้งบนล่าง จะเห็นได้รางๆ ว่าบนเขาลูกนั้นมีเงาร่างมากมายยืนอยู่ก่อนแล้ว
เงาร่างแต่ละสายล้วนยืนอยู่ตำแหน่งต่างๆ ของภูเขาใหญ่ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
ทุกๆ ช่วงหนึ่งถึงจะเห็นเงาร่างหลายสายย่างก้าว มุ่งหน้าขึ้นเขาห่างออกไปอีกช่วง จากนั้นก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงอีก ดูแปลกพิสดารถึงขีดสุด
ภูเขานี้ก็คือ ‘ด่านเกิดใหม่’!
หากจะข้ามด่านเกิดใหม่ก็ต้องปีนเขาลูกนี้ข้ามผ่านไป
เพียงแต่คิดจะข้ามด่านนี้กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เพราะก้าวแรกที่เหยียบบนภูเขาลูกนี้ก็เหมือนเหยียบบนเส้นทางเกิดใหม่ ทุกสิ่งที่ใคร่ครวญ ความคิดทั้งหมดล้วนจมสู่แดนมหัศจรรย์ประหนึ่งวัฏจักร หากหลุดพ้นจากวัฏจักรก็สามารถหลุดพ้นจากเส้นทางเกิดใหม่และผ่านด่านไปได้
หากไม่อาจหลุดพ้นจะถูกขังบนเส้นทางเกิดใหม่ไปตลอด และมรรควิถีในตัวก็จะเลือนหายทีน้อยพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนคล้อยกระทั่งมอดดับไป
เพราะการเกิดใหม่เดิมก็หมายถึงความตาย!
ในกาลเวลาที่ผ่านมา ตัวอย่างของผู้ที่ถูกขังบนเส้นทางเกิดใหม่จนทำให้สังขารร่วงหล่นก็มีไม่ใช่น้อย
เวลานี้หน้าด่านเกิดใหม่แห่งนั้นก็มีเงาร่างไม่น้อยยืนอยู่ ไม่ได้ไปข้ามด่าน หากแต่กำลังเฝ้ามอง คล้ายกำลังรอคอยอะไร
และมีคนบางส่วนกระจายตัวนั่งสมาธิฝึกปราณตามพื้นที่ต่างๆ เช่นเดียวกับซย่าจื้อ
“แม่นาง”
จู่ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเดินเข้ามาทางซย่าจื้อ เขาสวมชุดคลุมสีทองม่วง มาดดีหล่อเหลา กลิ่นอายที่แผ่ออกจากทั่วร่างก็น่าตกใจสุดขีด
“มีอะไร”
ซย่าจื้อลืมตาขึ้น เสียงหวานใสดุจเสียงสวรรค์ แต่กลับเผยแววเย็นชา
งดงามนัก!
ชายหนุ่มดวงตาวาววับ จิตมรรคร้อนผ่าวเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ประสานหมัดคารวะ “ข้าน้อยตู้ชั่นจ้าว บอกอย่างไม่ปิดบัง วันแรกยามแม่นางมาถึงที่นี่ก็สังเกตเห็นว่าแม่นางเคลื่อนไหวลำพัง และบัดนี้เวลาผ่านไปสิบเดือนแล้ว แม่นางกลับไม่เคยไปฝ่าด่านเสียที หรือว่ามีข้อกังขาคาใจอยู่”
“ข้าแค่กำลังรอคน”
ซย่าจื้อสีหน้าราบเรียบ แม้ว่าดวงตาจะมองดูชายหนุ่มที่เรียกตนเองว่าตู้ชั่นจ้าวผู้นี้ ทว่าแววตากลับไม่มีคลื่นอารมณ์สักเสี้ยว
หากเป็นคนอื่นได้ยินคำตอบเช่นนี้เกรงว่าคงถอยหลบนานแล้ว
แต่ตู้ชั่นจ้าวคนนี้กลับไม่ยอมอยู่บ้าง กล่าวว่า “อ้อ ขอบังอาจถามแม่นางว่ากำลังรอใครหรือ”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ซย่าจื้อขมวดคิ้ว
ประโยคนี้ไม่เกรงใจยิ่ง แฝงเจตนาขับไล่และต่อต้านอย่างไม่ปกปิด สีหน้าท่าทางตู้ชั่นจ้าวเผยแววกระอักกระอ่วนแวบหนึ่ง ประสานหมัดคารวะกล่าว “รบกวนแล้ว”
จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ส่วนซย่าจื้อหลับตาลงอีกครั้ง
ในสิบเดือนนี้ไม่รู้มีคนเท่าไรเข้ามาตีสนิท ทำให้ในใจนางหงุดหงิดอยู่บ้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน เหตุใดผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจึงเบื่อหน่ายจนต้องมาคุยสัพเพเหระกับตน ไม่รู้สึกบ้างหรือว่านี่จะทำให้ผู้อื่นรำคาญยิ่ง
ซย่าจื้อไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางงดงามเกินไป ไม่เพียงเท่านี้ ในฐานะผู้หญิงที่แจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ สามารถเข้าประตูสวรรค์จากโลกแปรปุถุชนจนมาถึงด่านเกิดใหม่แห่งนี้ได้ มาดและท่วงทำนองมรรคอันเป็นเอกลักษณ์ของนางยิ่งมีแรงดึงดูดยากจะต้านทานต่อคนอื่นๆ
แต่ยังดีที่แม้ว่าในใจชายเหล่านั้นจะไม่ยินยอม แต่ก็รู้ควรไม่ควรยิ่ง อย่างไรก็เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาแล้ว ไม่มีใครจะใช้วิธีการบังคับขู่เข็ญเหมือนคนสมองทึ่มแน่นอน
และเวลานี้ยามเห็นชายชุดทองม่วงคนนั้นคอตกกลับมา ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่จับตามองภาพนี้ล้วนอดหัวเราะไม่ได้
“นี่น่าจะเป็นคนที่สามสิบเก้าแล้วกระมัง”
มีคนกล่าวหยอก
“ก็ไม่รู้ว่าคนระดับไหนบนโลกนี้จึงจะเข้าตาสาวงามเช่นนี้ได้กันแน่”
มีคนทอดถอนใจ
“ไม่ได้ยินที่แม่นางผู้นั้นกล่าวหรือว่านางกำลังรอคน”
มีคนเอ่ยเสียงเบา
“เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นนักว่าคนผู้นั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใด ถึงกับแข็งใจปล่อยให้หญิงงามเช่นนี้รอคอยอย่างทุกข์ทนอยู่ที่นี่ นี่มันทนไม่ได้ชัดๆ!”
มีคนกล่าวเดือดดาล
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง หันมองซย่าจื้อที่ข้างตัว ในใจยิ่งละอาย จากนั้นหันไปประสานหมัดคารวะตู้ชั่นจ้าวซึ่งอยู่ไกลออกไป “ที่สหายยุทธ์สั่งสอนถูกต้องแล้ว”
ตู้ชั่นจ้าวก็อึ้งไปครู่หนึ่งเช่นกัน แค่นเสียงเย็นกล่าว “แม้จะดูเหมือนเจ้าขอโทษแล้ว แต่สุดท้ายก็มีความผิดอยู่ เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้ากับข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสักครั้ง ข้าน่ะ แค่ช่วยแม่นางผู้นี้ระบายความไม่เป็นธรรม เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เขาอยากลองดูจริงๆ ว่าหลินสวินมีฝีมือแค่ไหนกันแน่จึงกุมดวงใจของซย่าจื้อได้ นี่คงเป็นเพราะความรู้สึกขัดใจแปลกๆ อย่างหนึ่งกำลังแผลงฤทธิ์
ซย่าจื้อขมวดคิ้ว เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกหลินสวินยิ้มห้ามไว้ กล่าวว่า “ไร้แค้นไร้พยาบาท ต่อสู้เข่นฆ่าพร่ำเพรื่อไม่ใช่เรื่องดี สหายยุทธ์…”
ไม่รอให้กล่าวจบตู้ชั่นจ้าวก็เอ่ยตัดบท “ไม่ต้องพูดมากความ แค่ถามเจ้าว่ากล้าหรือไม่”
“นี่…”
หลินสวินถอนใจเบาๆ คราหนึ่งแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ตามที่สหายยุทธ์ปรารถนา”
“ดี! ถือว่ายังเป็นชายชาตรี!”
ตู้ชั่นจ้าวหัวเราะเสียงดัง “มาเถอะ ให้ข้าลองดูฝีมือของเจ้าหน่อย ข้าจะไม่รังแกเจ้า เจ้าเป็นผู้มาทีหลัง ก็ให้เจ้าเป็นคนลงมือ จำไว้ว่าต้องใช้สุดกำลัง หาไม่เดี๋ยวเจ้าแพ้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแพ้อย่างไร!”
“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง”
หลินสวินลังเล
“พูดพล่ามอะไร ให้เจ้าลงมือก็ลงมือสิ!”
ตู้ชั่นจ้าวยิ่งเหยียดหยันและใจเย็นขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด
“สหายยุทธ์ เช่นนั้นเจ้าต้องระวังด้วย”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ยื่นมือขวาออกไปกดง่ายๆ กลางห้วงอากาศคราหนึ่ง
ตูม!
ตู้ชั่นจ้าวที่เดิมเหยียดหยันมั่นใจรู้สึกเพียงสภาวะจิตดุจดั่งเผชิญแรงกดหนักหน่วงจากภูเขาเทพหมื่นกาล เลือดลมทั่วร่างแทบจะปั่นป่วนพังทลายในพริบตา
เขาหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เค้นมรรควิถีในตัวโคจรออกมาทั้งหมด
แต่แรงกดนี้ของหลินสวินออกฤทธิ์เล่นงานสภาวะจิตโดยตรง มีหรือเขาจะต้านทานได้
ปึง!
เพียงพริบตาก็เห็นร่างตู้ชั่นจ้าวอ่อนยวบ ทรุดนั่งลงกับพื้นโดยตรง ตะโกนลั่นเสียงร้อนรน “ข้ายอมแพ้!”
ทั่วลานอึ้งค้าง บรรยากาศเงียบกริบ
แพ้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ตู้ชั่นจ้าวยังคุยโวให้หลินสวินลงมือก่อน เตือนหลินสวินว่าต้องใช้สุดกำลัง หาไม่คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแพ้อย่างไร ในใจพวกผู้ฝึกปราณในที่นี้ล้วนแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก เรื่อง… ดูเหมือนจะพลิกกลับแล้ว…
และเวลานี้หลินสวินเก็บพลังฝ่ามือแล้วกล่าวขอโทษ “สหายยุทธ์ ต้องโทษที่ข้าไม่ได้ควบคุมพลังให้ดีทำให้เจ้าตกใจแล้ว”
ไม่ได้ควบคุมพลังให้ดี…
มุมปากผู้ฝึกปราณทั่วลานเกร็งกระตุก เจียนจะพันกันยุ่งแล้ว
…………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์