ตอนที่ 3166 ไม่รู้ว่าแพ้ได้อย่างไรด้วยซ้ำ
โลกภัยพิบัติ
โลกที่ภัยพิบัติเกิดบ่อยครั้ง หายนะชุกชุมใบหนึ่ง
ภัยพิบัติภายในนั้นคือพิบัติเคราะห์มหามรรค ต่อให้เป็นอสนีเคราะห์ที่พบเห็นบ่อยที่สุดยังมีอานุภาพทำลายล้างที่สามารถคุมคามขั้นไร้ขอบเขตได้
และนอกจากอสนีเคราะห์ ยิ่งมีกลิ่นอายเคราะห์ไร้ขอบเขตอย่างลม ไฟ น้ำ ธุลี ล้วนอันตรายหาใดเปรียบ
นับแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดเข้าสู่โลกใบนี้ แทบไม่มีทางลองไปท่องตระเวนและสืบค้นโลกใบนี้ เพราะหายนะที่กระจายกลางฟ้าดินมากมายเกินไปจริงๆ
สวบ!
วันนี้เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศบนที่ราบกว้างขวางแถบหนึ่งของโลกภัยพิบัติ
เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีฝุ่นทรายสีชาดแผ่ครอบฟ้าดินหอบม้วนเข้ามา เสียงหวีดหวิวดุจเสียงปวงเทพร่ำไห้ พาให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
หลินสวินหลบเลี่ยงทันที ถอยห่างไปไกลๆ แต่เพิ่งยืนทรงตัวได้ไม่นานจู่ๆ ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงก็ถล่มครืน กระแสน้ำสีดำระเบิดทะลักออกมาตรงๆ ราวกระแสน้ำเชี่ยว กลิ่นอายที่แผ่คลุ้งออกมาเผยพลังแห่งการกัดกร่อนอันน่าสะพรึง
หลินสวินไม่อาจไม่เคลื่อนที่อีก ในใจยังอดหนาวสะท้านไม่ได้ เคราะห์มรรคของโลกภัยพิบัตินี้ออกจะมากมายเกินไปแล้วกระมัง…
ด้วยพลังของเขาย่อมสามารถสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นพายุฝุ่นทรายสีชาดหรือว่ากระแสสีดำที่ทับถล่มห้วงอากาศนั่น ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สามารถคุกคามขั้นไร้ขอบเขตได้!
พวกทั่วๆ ไปยังไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานและสลายได้
‘ปาไปสิบเดือนแล้ว เกรงว่าป่านนี้ซย่าจื้อคงรอจนร้อนใจแล้วกระมัง…’
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วสงบจิตสัมผัส
ครานั้นยามแยกกับซย่าจื้อที่โลกแปรปุถุชน เขาเคยมอบยันต์อักษรแผ่นหนึ่งให้ซย่าจื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากเขามาถึงโลกภัยพิบัติก็สามารถสัมผัสตำแหน่งของซย่าจื้อได้ในทันที
ครู่ต่อมานัยน์ตาหลินสวินวาววับ เงาร่างเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกไป
…
ซย่าจื้อนั่งสบายๆ บนหินก้อนหนึ่ง ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าเล็กงดงามเผยแววสงบเงียบพิสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ห่างจากนางมีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ลักษณะเขาสูงต่ำ หญ้าต้นไม้ไม่งอกเงย มีพยับหมอกเทาขุ่นแผ่คลุ้งทั่วภูเขาทั้งบนล่าง จะเห็นได้รางๆ ว่าบนเขาลูกนั้นมีเงาร่างมากมายยืนอยู่ก่อนแล้ว
เงาร่างแต่ละสายล้วนยืนอยู่ตำแหน่งต่างๆ ของภูเขาใหญ่ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
ทุกๆ ช่วงหนึ่งถึงจะเห็นเงาร่างหลายสายย่างก้าว มุ่งหน้าขึ้นเขาห่างออกไปอีกช่วง จากนั้นก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงอีก ดูแปลกพิสดารถึงขีดสุด
ภูเขานี้ก็คือ ‘ด่านเกิดใหม่’!
หากจะข้ามด่านเกิดใหม่ก็ต้องปีนเขาลูกนี้ข้ามผ่านไป
เพียงแต่คิดจะข้ามด่านนี้กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เพราะก้าวแรกที่เหยียบบนภูเขาลูกนี้ก็เหมือนเหยียบบนเส้นทางเกิดใหม่ ทุกสิ่งที่ใคร่ครวญ ความคิดทั้งหมดล้วนจมสู่แดนมหัศจรรย์ประหนึ่งวัฏจักร หากหลุดพ้นจากวัฏจักรก็สามารถหลุดพ้นจากเส้นทางเกิดใหม่และผ่านด่านไปได้
หากไม่อาจหลุดพ้นจะถูกขังบนเส้นทางเกิดใหม่ไปตลอด และมรรควิถีในตัวก็จะเลือนหายทีน้อยพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนคล้อยกระทั่งมอดดับไป
เพราะการเกิดใหม่เดิมก็หมายถึงความตาย!
ในกาลเวลาที่ผ่านมา ตัวอย่างของผู้ที่ถูกขังบนเส้นทางเกิดใหม่จนทำให้สังขารร่วงหล่นก็มีไม่ใช่น้อย
เวลานี้หน้าด่านเกิดใหม่แห่งนั้นก็มีเงาร่างไม่น้อยยืนอยู่ ไม่ได้ไปข้ามด่าน หากแต่กำลังเฝ้ามอง คล้ายกำลังรอคอยอะไร
และมีคนบางส่วนกระจายตัวนั่งสมาธิฝึกปราณตามพื้นที่ต่างๆ เช่นเดียวกับซย่าจื้อ
“แม่นาง”
จู่ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเดินเข้ามาทางซย่าจื้อ เขาสวมชุดคลุมสีทองม่วง มาดดีหล่อเหลา กลิ่นอายที่แผ่ออกจากทั่วร่างก็น่าตกใจสุดขีด
“มีอะไร”
ซย่าจื้อลืมตาขึ้น เสียงหวานใสดุจเสียงสวรรค์ แต่กลับเผยแววเย็นชา
งดงามนัก!
ชายหนุ่มดวงตาวาววับ จิตมรรคร้อนผ่าวเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ประสานหมัดคารวะ “ข้าน้อยตู้ชั่นจ้าว บอกอย่างไม่ปิดบัง วันแรกยามแม่นางมาถึงที่นี่ก็สังเกตเห็นว่าแม่นางเคลื่อนไหวลำพัง และบัดนี้เวลาผ่านไปสิบเดือนแล้ว แม่นางกลับไม่เคยไปฝ่าด่านเสียที หรือว่ามีข้อกังขาคาใจอยู่”
“ข้าแค่กำลังรอคน”
ซย่าจื้อสีหน้าราบเรียบ แม้ว่าดวงตาจะมองดูชายหนุ่มที่เรียกตนเองว่าตู้ชั่นจ้าวผู้นี้ ทว่าแววตากลับไม่มีคลื่นอารมณ์สักเสี้ยว
หากเป็นคนอื่นได้ยินคำตอบเช่นนี้เกรงว่าคงถอยหลบนานแล้ว
แต่ตู้ชั่นจ้าวคนนี้กลับไม่ยอมอยู่บ้าง กล่าวว่า “อ้อ ขอบังอาจถามแม่นางว่ากำลังรอใครหรือ”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ซย่าจื้อขมวดคิ้ว
ประโยคนี้ไม่เกรงใจยิ่ง แฝงเจตนาขับไล่และต่อต้านอย่างไม่ปกปิด สีหน้าท่าทางตู้ชั่นจ้าวเผยแววกระอักกระอ่วนแวบหนึ่ง ประสานหมัดคารวะกล่าว “รบกวนแล้ว”
จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ส่วนซย่าจื้อหลับตาลงอีกครั้ง
ในสิบเดือนนี้ไม่รู้มีคนเท่าไรเข้ามาตีสนิท ทำให้ในใจนางหงุดหงิดอยู่บ้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน เหตุใดผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจึงเบื่อหน่ายจนต้องมาคุยสัพเพเหระกับตน ไม่รู้สึกบ้างหรือว่านี่จะทำให้ผู้อื่นรำคาญยิ่ง
ซย่าจื้อไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางงดงามเกินไป ไม่เพียงเท่านี้ ในฐานะผู้หญิงที่แจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ สามารถเข้าประตูสวรรค์จากโลกแปรปุถุชนจนมาถึงด่านเกิดใหม่แห่งนี้ได้ มาดและท่วงทำนองมรรคอันเป็นเอกลักษณ์ของนางยิ่งมีแรงดึงดูดยากจะต้านทานต่อคนอื่นๆ
แต่ยังดีที่แม้ว่าในใจชายเหล่านั้นจะไม่ยินยอม แต่ก็รู้ควรไม่ควรยิ่ง อย่างไรก็เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาแล้ว ไม่มีใครจะใช้วิธีการบังคับขู่เข็ญเหมือนคนสมองทึ่มแน่นอน
และเวลานี้ยามเห็นชายชุดทองม่วงคนนั้นคอตกกลับมา ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่จับตามองภาพนี้ล้วนอดหัวเราะไม่ได้
“นี่น่าจะเป็นคนที่สามสิบเก้าแล้วกระมัง”
มีคนกล่าวหยอก
“ก็ไม่รู้ว่าคนระดับไหนบนโลกนี้จึงจะเข้าตาสาวงามเช่นนี้ได้กันแน่”
มีคนทอดถอนใจ
“ไม่ได้ยินที่แม่นางผู้นั้นกล่าวหรือว่านางกำลังรอคน”
มีคนเอ่ยเสียงเบา
“เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นนักว่าคนผู้นั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใด ถึงกับแข็งใจปล่อยให้หญิงงามเช่นนี้รอคอยอย่างทุกข์ทนอยู่ที่นี่ นี่มันทนไม่ได้ชัดๆ!”
มีคนกล่าวเดือดดาล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์