ฟู่~ เขาพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นสายพลังปราณราวน้ำพุ พวยพุ่งออกมาราวมีดคม ส่งเสียงเสียงฉึบฉับฉีกแยกห้วงอากาศออกจากกัน!
จบลงด้วยเสียงปังดังขึ้นกระทบกำแพงที่ห่างออกไปสิบจั้ง เกิดเป็นคลื่นสะเทือน
พลังในกายปะทุขึ้นฉับพลัน ระเบิดออกราวคมมีด!
นี่เป็นลางบอกว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นผสานฟ้าแล้ว
หลินสวินพลันตะลึงงัน ตนยังไม่เชื่อเลยว่าเพียงสกัดรากโสมหิมะหยกเพียงเส้นเดียว ก็ถึงกับทำให้พลังปราณของตนเพิ่มขึ้นฉับพลัน สุดขีดพลังขั้นผสานดิน พร้อมบรรลุขั้นต่อไปได้ทุกเมื่อ
หลินสวินยังคงไม่เชื่อ จึงตั้งจิตจดจ่อทำความเข้าใจ ก่อนพบว่าพลังปราณไพศาลดังท้องสมุทรกว้างใหญ่ซัดสาดถาโถม ลมหายใจที่เอ่อล้นออกมาเผยให้เห็นกลิ่นอายไร้ขอบเขตนิ่งสงัด บริสุทธิ์ หนักอึ้งหาใดเทียบ
พลังปราณที่เดิมเวิ้งว้างราวฟ้าโปร่งเปล่งแสง แปรสภาพรวมเข้าเป็นหยกเขียวเรียบง่าย โปร่งใสไร้ตำหนิ!
ขั้นผสานดิน เป็นกระบวนการ ‘รับพลังจากผืนดิน’ ของการฝึกปราณ สิ่งที่สัมผัสได้คืออานุภาพแห่งดิน ที่ผสานไว้คือพลังของดิน ใช้ผืนดินเป็นภาชนะรองรับ ดังจอกแหนหยั่งราก ไม่อาจไหลไปตามคลื่นน้ำอีก
เค้าลางที่เกิดขึ้นในกายทั้งหมดขณะนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าหลินสวินอยู่ในขั้นสูงสุดของปราณขั้นผสานดินแล้ว
ได้แล้วจริงๆ…
หลินสวินเหม่อเล็กน้อย จิตใจสั่นไหวด้วยฤทธิ์ยามหาศาลที่กักเก็บอยู่ในโสมหิมะหยก เพียงรากเส้นเดียวก็มีพลังน่ากลัวเช่นนี้แล้ว ถ้ากลืนลงไปหมดคง…
หลินสวินพลันส่ายหัว แค่สกัดพลังที่กักเก็บไว้ในรากเส้นนี้ ร่างกายของเขาก็แทบรับไม่ไหว ถ้ากล้ากลืนโสมหิมะหยกลงไปทั้งต้น ผลออกมาคงร่างระเบิดตายแน่นอน!
“ดีล่ะ แก่นพลังยังคงเสถียร แม้เพิ่มขั้นพลังปราณเร็วเกินไป พลังในร่างก็เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน…”
หลินสวินสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังตนเองโดยละเอียด กลั้นยิ้มพึงพอใจไว้ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ตอนบรรลุขั้นผสานดิน ตนก็สังหารเหล่าผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าตระกูลฉือได้ราบคาบแล้ว
ทว่าตอนนี้ ตนได้ครอบครองพลังปราณขั้นผสานดินเต็มขั้น ยามต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดกัน
หลินสวินนึกถึง ‘ดรุณจ้าวกระบี่’ เซี่ยอวี้ถังขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คิดถึงภาพที่เซี่ยอวี้ถังใช้กระบี่กดคอของตนไว้
นึกถึงเด็กหนุ่มตระกูลฉือ ฉือฉางเฟิงผู้มีเส้นปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง คิดถึงภาพที่ฉือฉางเฟิงกระโจนขึ้นกลางอากาศหมายจะตัดหัวตน
ฉับพลัน จิตใจหลินสวินเกิดความปิติ
ยังไม่พอ!
บางทีในระดับจิตผสานวิญญาณตนคงหาคู่ต่อสู้แทบไม่ได้แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับมหาสมุทรวิญญาณ คงห่างชั้นไม่เห็นฝุ่น
ชั่วพริบตา จิตวิญญาณต่อสู้แน่วแน่แผดเผาภายในใจหลินสวิน คนดำรงชีวิตด้วยลมหายใจฉันใด พระก็ธำรงอยู่ด้วยเปลวธูปฉันนั้น การฝึกปราณก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
สู้กับฟ้า สู้กับดิน สู้กับคน สู้กับตน!
ถ้าไม่สู้ พลังปราณและจิตใจจะสูญเสียแรงผลักดันไปข้างหน้า ไม่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ใดๆ จากการฝึกปราณเป็นแน่
‘สักวันหนึ่ง พวกเจ้าก็จะได้ลิ้มรสชาติของการถูกข้าเอาชนะ’
หลินสวินหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีดำกระจ่างลุ่มลึกเต็มไปด้วยความแน่วแน่
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและจิตใจระหว่างการฝึกปราณ ความคิด ความตั้งใจ ความทรงจำ ความยากลำบาก ล้วนมีอิทธิพลทั้งสิ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตใจอัศจรรย์เกินบรรยายอย่างไม่ต้องสงสัย
หืม? หลินสวินแลไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันเห็นเพดานเหนือตรงที่ตนนั่งอยู่เปล่งแสงวิญญาณสีดำลึกลับกลมเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
มันดูเหมือนรูปภาพที่แสงวิญญาณวาดขึ้น ในภาพมีลวดลายประหลาดเกี่ยวกระหวัดลอยนิ่งอยู่ แลดูอัศจรรย์ถึงที่สุด
จิตใจหลินสวินพลันถูกสะกดไว้ เขามั่นใจว่าตอนเข้ามาในห้องฝึกปราณลับไม่มีแสงวิญญาณปานภาพวาดนี้อยู่แน่นอน
จึงกล่าวได้ว่า ภาพประหลาดนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบตอนเขาจดจ่อกับการฝึกปราณ!
หลินสวินลุกจากเบาะรองนั่ง ขมวดคิ้วครุ่นคิด ที่นี่เป็นเขตฝึกปราณหวงห้ามซึ่งผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงเข้ามาได้ ทว่าสถานที่ที่อัศจรรย์แห่งนี้กลับมีเพียงเบาะรองนั่งใบเดียว แลดูชอบกลนัก
ยิ่งกว่านั้นหากคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าตระกูลหลินในตอนนั้นที่มีอำนาจเป็นถึงผู้มีอิทธิพลชั้นสูง มีหรือจะไม่สามารถสร้างที่ฝึกที่สมเกียรติสวยงามราวหุบเขาเซียนได้ ขณะนี้แสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นบนเพดานเมื่อใดได้พิสูจน์อย่างไร้ข้อกังขาแล้วว่า ห้องฝึกปราณลับนี้ต้องซ่อนปริศนาที่ตนไม่ล่วงรู้เอาไว้แน่!
พิจารณาอยู่พักใหญ่ หลินสวินก็ตกลงใจได้ เงาร่างกระโจนขึ้นกลางอากาศ ยื่นมือขึ้นไปคว้าแสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงนั้น
เพียงแต่หลินสวินยังไม่ทันเข้าใกล้ แสงวิญญาณสีดำนั้นราวหวาดหวั่น หายวับไปไร้ร่อยรอย
หืม? ทว่าหลินสวินสังเกตเห็น ยามแสงวิญญาณสีดำนั้นหายไป พลันมีเงาดำเรียวเล็กทอดต่ำลงมา
หลินสวินยื่นมือไปจับไว้โดยไม่ทันยั้งคิด ก่อนที่ร่างของเขาจะพลิ้วลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
ช่วยไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับมหาสมุทรวิญญาณ จึงทำได้เพียงเคลื่อนไหวขึ้นกลางอากาศ แต่ไม่มีทางลอยตัวค้างไว้ได้
เมื่อแบมือออก ก็พบแหวนสีดำกลางฝ่ามือ มันช่างแสนธรรมดา เหมือนเหล็กดำหลอมเป็นห่วง สีดำสนิทตลอดวง ถือไว้ในมือก็เบาหวิวไม่มีน้ำหนัก ที่หลินสวินผิดหวังที่สุดคือ แหวนวงนี้ไม่ได้เป็นสมบัติมีค่า ไร้ซึ่งไอวิญญาณ
“นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ”
หลินจงกล่าวหนักแน่น “กล่าวอย่างเคร่งครัดแล้ว แหวนนี้เป็นแก่นแท้ที่ทำให้ตระกูลหลินของเราดำรงอยู่ในใต้หล้าถึงทุกวันนี้”
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ถามพลางเปลี่ยนสีหน้าว่า “หมายความว่าอย่างไร”
หลินจงหายใจเฮือกใหญ่ พูดชัดถ้อยชัดคำ “เพราะต้องอาศัยพลังจากแหวนนี้ ถึงครอบครองตำราสูงสุดของตระกูลหลินของเรา ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ได้ขอรับ ตำรานี้ก็มีเพียงผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติได้ฝึกปราณวิชาลับที่สืบต่อกันมา!”
หลินสวินตกตะลึงพึงเพริด จิตใจไหวกระเพื่อม ที่แท้แหวนนี้ซ่อนความลับโลกตะลึงเช่นนี้นี่เอง หากไม่ได้หลินจงเตือนไว้ ตนคงไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต
“นายน้อย เมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกูลหลินของเราเป็นหนึ่งในแปดตระกูลผู้ทรงอิทธิพลชั้นสูง ที่สามารถเทียบเคียงอีกเจ็ดตระกูลผู้มีอิทธิพลชั้นสูงได้ ก็เป็นเพราะคัมภีร์ประสานมายานี่ล่ะขอรับ!”
หลินจงพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ “ทว่าน่าเสียดาย นายท่านผู้นำตระกูลทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถไขปริศนาที่แท้จริงของคัมภีร์ประสานมายาได้ การฝึกปราณจึงติดอยู่ที่ระดับกระบวนแปรจุติมาโดยตลอด ไม่สามารถกลายเป็นราชันระดับสังสารวัฏได้อย่างแท้จริง”
“เดิมทีพลังโดยกำเนิดของนายท่านนั้นโดดเด่นเหนือใคร ฌานสัมผัสล้ำเลิศ เป็นผู้ที่มีความหวังที่สุดว่าจะสำเร็จคัมภีร์ประสานมายา แต่มาสิ้นไปจากเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว…”
หลินจงพูดเสียงอ่อน สีหน้าเจื่อนเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินเพิ่งตระหนักว่า ที่แท้สิ่งที่ตนมารับช่วงต่อไม่ใช่ภูเขาชำระจิตที่ว่างเปล่าราวเปลือกหอยกลวง แต่ยังมีสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่ต้นตระกูลทิ้งไว้ให้ นั่นคือ ‘คัมภีร์ประสานมายา’!
“ลุงจง จะปลุกพลังในแหวนประสานมายาได้อย่างไรหรือ เหตุใดข้าสัมผัสความพิเศษไม่ได้เลยสักนิด”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
“นายน้อย ข้าเคยได้ยินนายท่านหัวหน้าตระกูลกล่าวไว้ มีเพียงก้าวเข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นถึงจะไขปริศนาที่ซ่อนไว้ในแหวนประสานมายานี้ได้” หลินจงอธิบายเสียงแผ่ว
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินสวินเข้าใจได้ในทันใด คิดครู่หนึ่งก็เก็บแหวนประสานมายาอย่างระมัดระวัง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูล ภายหน้าเมื่อตนเลื่อนขั้นถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณ ก็มีโอกาสได้เห็นความลับของคัมภีร์ประสานมายาแล้ว!
เวลานี้หลินจงราวนึกอะไรขึ้นได้ พลางตบหน้าผากแล้วพูดว่า “นายน้อย บ่าวตื่นเต้นเกินเหตุเลยลืมเรื่องหนึ่งไปเสียสนิทเลย”
หลินสวินอึ้งไป “เรื่องอะไรหรือ”
หลินจงแสดงสีหน้าหนักใจ “สายตระกูลสาขาแห่งตระกูลหลินของเราจะส่งตัวแทนมาสายละหนึ่งคน วันนี้ยามเที่ยงจะมาเยี่ยมท่านขอรับ”
หลินสวินเลิกคิ้ว แล้วยิ้มเย็น “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเขาชำระจิตได้สองวันเท่านั้น พวกเขาก็นั่งไม่ติดกันแล้วหรือนี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์