ตระกูลหลินแห่งธารประจิม หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลเซียวเฟิ่งหรู
ตระกูลหลินแห่งคานเมฆา หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลฉางจื่อเหิง
ตระกูลหลินแห่งยอดวายุ หัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลสือจั่น
ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หัวหน้าผู้ดูแลหลินต้าหง
หลินจงยื่นเทียบเข้าเยี่ยมส่งให้ บนเทียบมีชื่อคนที่จะมาเยือนภูเขาชำระจิตคราวนี้เขียนอยู่
น่าสนใจ!
มองปราดเดียว หลินสวินก็มองนัยของรายชื่อนี้ออก
ตระกูลหลินสามสาขาคือ ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุส่งหัวหน้าผู้ดูแลต่างสกุลสามคนมา แม้ตำแหน่งไม่ได้ต่ำ แต่ก็ยังเป็น ‘คนนอก’
มีเพียงตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเท่านั้นที่ส่งคนในตระกูลหลินเองออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถดูออกได้หลายเรื่อง
‘ทั้งสามสายนี้ส่งคนนอกมาเยือนเหมือนกันหมด นี่เป็นการหมิ่นว่าข้าหลินสวินไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเขาส่งคนสำคัญมากระมัง’ หลินสวินครุ่นคิด
เขาพลันถามขึ้น “ลุงจง ท่านคิดเห็นเช่นไร”
หลินจงสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ได้มาดีขอรับ”
หลินสวินส่งเสียงอืม ดวงตาฉายแววเย็นเยียบพลางพูดว่า “ลุงจง ไปเรียกจูเหล่าซานมา ถ้า ‘ผู้มาเยือน’ เหล่านี้มาก่อเรื่อง จะได้ถือโอกาสนี้ดูเสียหน่อยว่าจูเหล่าซานมีฝีมือเพียงใดกันแน่”
บ่าวชราอึ้ง ก่อนพยักหน้ารับคำสั่งแล้วออกไป
…
ตำหนักชำระจิตชั้นหนึ่ง
ยามเที่ยงมาถึง หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธานกลางโถง ในใจใคร่ครวญอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อวานพญาแร้งพาตัวเสี่ยวเคอกลับไป จนตอนนี้ยังไม่กลับมา หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นตอนไปเสาะหาผู้แข็งแกร่ง
“นายน้อย เลยเที่ยงแล้วขอรับ” หลินจงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน
หลินสวินพูดไปยิ้มไป “ลุงจง นี่พวกเขากำลังทดสอบความอดทนของข้ากระมัง แน่ล่ะ ข้าไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะจงใจทำเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าชักยิ่งตั้งหน้าตั้งตาคอยการมาเยือนของพวกเขาในครั้งนี้เสียแล้ว”
เขายิ้มมุมปาก น้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าดวงตาสีดำลุ่มลึกกลับไม่ได้ยิ้มตามเลย ใครก็ฟังออกว่าหลินสวินกำลังประชด!
“จริงด้วย จูเหล่าซาน ท่านชื่อจริงว่าอะไร” หลินสวินหันหน้าไปทางจูเหล่าซานที่อยู่อีกฝั่ง
“ข้าไม่มีชื่อ”
จูเหล่าซานตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ เงาร่างสูงใหญ่กำยำ หนวดเครารุงรัง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อยืนอยู่นั้นดูสงบนิ่งราวรูปปั้น
หลินสวินร้องอ้อ แล้วไม่พูดอะไรอีก คนอย่างจูเหล่าซาน นิ่งเงียบราวก้อนเหล็ก ถามไปก็รังแต่จะทำให้ตนเบื่อเปล่าๆ
เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยงมานานแล้ว หลินสวินไม่แสดงสีหน้า แต่หลินจงที่อยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าจากภายนอกโถงก็ดังขึ้น
“ขออภัย มีเรื่องราวรั้งไว้ระหว่างทาง ทำให้ทุกท่านรอนานเสียแล้ว”
ตัวคนยังมาไม่ถึง แต่เสียงคำขอโทษดังมาแล้ว หลินสวินเงยหน้าขึ้น ก็พบชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเผละแต่งกายเหมาะสมเดินเข้ามา
“นายน้อย ผู้นี้ก็คือหลินต้าหง ถ้านับตามสาแหรกตระกูลแล้ว ถือเป็นอาของท่านขอรับ” หลินจงอธิบายเสียงเบา
หลินสวินนั่งนิ่ง ดวงตามองไปทางหลินต้าหง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เชิญเข้ามานั่ง”
หลินต้าหงกลับไม่นั่งลง แต่ยกมือทำท่าคารวะอย่างละอาย “ครั้งนี้มาสายเป็นเรื่องไม่บังควร เดิมทีพวกเราสายตระกูลทั้งสี่ตกลงว่าจะมาด้วยกัน แต่ใครจะคิด เหล่าตัวแทนทั้งสามสายถูกเรื่องสำคัญรั้งตัวไว้ ข้ารอพวกเขาไม่ไหวจึงรีบล่วงหน้ามาก่อนเพียงลำพัง”
ท่าทีดูจริงใจนัก อดทำให้หลินสวินประหลาดใจไม่ได้ เขามีสีหน้าอ่อนลงไม่น้อย อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้เผยท่าทีปองร้ายอะไรในตอนนี้
ยิ่งกว่านั้น ในเทียบเข้าเยี่ยมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในบรรดาตัวแทนที่สี่สายตระกูลรองส่งมานั้น หลินต้าหงเป็นคนในตระกูลหลินเพียงผู้เดียว นี่ทำให้หลินสวินเปลี่ยนทัศนคติที่ตนมีต่อตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
“ถูกเรื่องสำคัญรั้งตัวไว้หรือ ข้าคิดว่าพวกท่านจงใจเล่นแง่ ต้องการใช้โอกาสนี้ข่มข้าก็เท่านั้น” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
หลินต้าหงได้แต่ยิ้ม ไม่ต่อความ
“เชิญเข้ามานั่ง” หลินสวินจับจ้องหลินต้าหง แล้วเชิญเขาเข้ามานั่งอีกครั้ง
หลินต้าหงถึงยิ้มพลางยกมือคารวะ “ขอบคุณมากๆ”
เขาเลือกที่นั่งที่ตนพอใจแล้วนั่งลง ครานี้จึงเคลื่อนสายตาลอบมองประเมินหลินสวินที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานกลางโถง
“นายน้อย จะเริ่มเข้าเรื่องกันเลยหรือไม่ขอรับ” หลินจงซักถามเสียงเบา
“รออีกหน่อย” หลินสวินพูดพลางโบกมือ “ขาดตัวแทนจากตระกูลสาขาอีกสามคน อย่างนั้นไม่ใช่ว่าออกจะน่าเบื่อไปหน่อยหรือ”
หลินต้าหงหรี่ตาลงราวครุ่นคิด
ตั้งแต่เขานั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลินสวินเองก็ดูท่าไม่ยอมเปิดบทสนทนาก่อน พาให้บรรยากาศในห้องโถงกลับไปเงียบงันดังเดิม
ไม่นานนัก เสียงสนทนาก็ดังมาจากนอกโถง
“สิบกว่าปีแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าภูเขาชำระจิตจะรกร้างเช่นนี้ ช่างน่าเจ็บปวดใจนัก”
“จะไปโทษใครได้เล่า ถ้าตอนนั้นพวกเราสามตระกูลไม่ได้ย้ายออกจากภูเขาชำระจิต สถานที่งดงามเหนือใต้หล้าอย่างภูเขาชำระจิตจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร”
“พี่สือไม่ต้องถอนใจ ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่นาน พวกเราสามตระกูลก็ได้ย้ายกลับมาภูเขาชำระจิตแห่งนี้แล้ว”
เสียงสนทนาสามหาวไม่สำรวมนั้น เมื่อดังขึ้นในบรรยากาศเงียบเชียบเช่นนี้ช่างระคายหูนัก
หลินต้าหงถามตัวเองในใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาถูกเย้ยหยันดูถูกเช่นนี้ ใจเขาคงรับไม่ได้แน่ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนกว่านั้น ถ้าหลินสวินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหลินเหวินจิ้งจริงๆ ด้วยศักดิ์แล้ว หลินสวินย่อมเป็นตัวเลือกเดียวที่จะได้สืบทอดภูเขาชำระจิต
แน่ล่ะ ‘ตามศักดิ์แล้ว’
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นเซียวเฟิ่งหรูผู้นี้ ฉางจื่อเหิงผู้นั้น หรือสือจั่นก็ดี ล้วนเป็น ‘คนนอก’ ทั้งสิ้น!
ไม่ใช่คนในตระกูลหลินเลย เป็นเพียงคนต่างสกุลที่อยู่ใต้อำนาจตระกูลสาขาเท่านั้น!
นี่มันออกจะเกินไปแล้ว
แม้ว่าตั้งใจพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน แต่ก็ไม่ควรให้คนนอกมาลบหลู่เขา
ครู่เดียวหลินต้าหงก็ตัดสินได้ว่าที่สามตระกูลหลินสาขารอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ให้ตัวแทนสามคนนี้มานั้น เห็นชัดว่ามาก่อเรื่อง!
ในขณะที่หลินต้าหงจมอยู่ในความคิดนั้นเอง กลับพบว่าเซียวเฟิ่งหรูเมื่อได้ฟังคำพูดของหลินสวินก็พลันหัวเราะหยัน “เจ้าหนู เลิกปั้นท่าวางก้ามใหญ่โตต่อหน้าเราเสีย ถ้าเจ้าโอนอ่อนผ่อนตาม พวกข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือ ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วข้าควรร่วมมืออย่างไร”
เซียวเฟิ่งหรูหน้านิ่วคิ้วขมวด ถึงตอนนี้หลินสวินยังยิ้มออกมาได้ ทำให้ใจนางเกิดความรู้สึกชิงชังและรำคาญ
“ง่ายมาก พวกเราตระกูลสาขาทั้งสี่ปรึกษากันแล้วว่านับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะย้ายกลับมาภูเขาชำระจิต และพร้อมกันนั้น กิจการต่างๆ ในภูเขาชำระจิตแห่งนี้ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราสี่ตระกูลทั้งหมด”
เซียวเฟิ่งหรูพูดแผนที่แท้จริงออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
นี่เป็นการแข็งข้อถึงที่สุด ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเจ้า จะฟังหรือไม่ก็ตัดสินใจลงไปแล้ว ที่เจ้าต้องทำคือเชื่อฟัง!
“แน่ล่ะ เห็นว่าเจ้าเป็นคนในตระกูลหลิน เพียงรับข้อตกลงทั้งหมดนี้อย่างสบายใจ พวกข้าสี่ตระกูลก็จะไม่มากวนใจเจ้า อนุญาตให้พำนักอยู่บนภูเขาชำระจิต ทั้งจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี รับรองว่าเจ้าจะมีกินมีใช้ไม่ทุกข์ร้อนไปตลอดชีวิต”
เซียวเฟิ่งหรูเชิดคางขึ้น ท่าทีหยิ่งผยองดั่งราชินีมีบัญชา “เงื่อนไขนี้ก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้วนะ ไม่ได้เรียกร้องทวงบุญคุณจากเจ้า เพียงหวังให้เจ้าจำไว้ว่า ภูเขาชำระจิตนี้ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้าอย่าได้ยื่นมือมายุ่ง!”
หลินจงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว คำพูดพรรค์นี้ไม่เพียงไม่เกรงใจ หนำซ้ำยังเป็นการข่มขู่และดูถูกกันเห็นๆ!
พวกเขาเห็นนายน้อยเป็นอะไร
พวกเขาเห็นสายเลือดตระกูลหลินสายตรงเป็นอะไรไปเสียแล้ว
ที่เลวร้ายที่สุดคือ ถ้อยคำที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่หมายดูหมิ่นถึงที่สุดเหล่านี้กลับออกมาจากปากคนนอก ช่างร้ายกาจนัก!
หลินสวินเวลานี้ก็อดหรี่ตาเขม็งไม่ได้
ตามที่หลินต้าหงคิดไว้ หลินสวินคงอดทนถึงขีดสุดแล้วเตรียมตอบโต้กลับ แต่กลับพบว่าหลินสวินพลันยิ้มบางๆ ดวงตามองมาที่เขา
“ท่านก็คิดเช่นนี้หรือ”
คำพูดของหลินสวินทำให้ดวงใจของหลินต้าหงกระตุกขึ้นฉับพลัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์