เขาไม่ซักไซ้อีก ด้วยจะให้หลินต้าหงแสดงจุดยืนคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
กลับกัน ท่าทีของหลินต้าหงในขณะนี้จัดว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ได้คิดเห็นไปในทางเดียวกับอีกสามตระกูลที่เหลือ
“เจ้าหนุ่ม อย่าถ่วงเวลาอีกเลย พวกข้าหมดความอดทนกับเจ้าแล้ว” เซียวเฟิ่งหรูส่งเสียงหึ
“ถ้าเจ้าฉลาดก็จะรู้ดีว่าเงื่อนไขที่พวกข้าเสนอถือว่ามีน้ำใจมากพอแล้ว เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่เง่าเลย” สือจั่นสีหน้าเรียบเฉย
“เด็กน้อย ถ้าตอบรับเงื่อนไขนี้ ก็ลงนามยอมรับในหนังสือสัญญาเสียเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง ฉางจื่อเหิงก็โยนหนังสือสัญญาออกมาอย่างเบามือลงไปที่เท้าของหลินสวินเหมือนโปรยเงินให้ขอทาน ท่าทางดูถูกเหยียดหยามเป็นที่สุด
“บังอาจ!”
หลินจงโกรธจนเบิกตาโพลง ทนต่อไปไม่ไหวจึงตวาดออกไป “พวกเจ้า… ท่าทีเช่นนี้มันอะไร”
“ตาเฒ่าจง เจ้าเป็นเพียงหมาเฝ้าประตู มีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่ด้วยหรือ”
เซียวเฟิ่งหรูดูถูก
“อย่าโวยวายเลย เห็นว่าเจ้าเป็นผู้คุ้มครองภูเขาชำระจิตแห่งนี้ให้ตระกูลหลินมานานปี เมื่อพวกข้าสี่ตระกูลย้ายกลับมา ไม่แน่จะมอบกระดูกตอบแทนเจ้าเสียหน่อย” ฉางจื่อหงเหยียดยิ้มร้ายกาจ
แต่สือจั่นกลับพูดอย่างเหี้ยมเกรียมออกไปว่า “เจ้าบ่าวรับใช้นี่ยังกล้าพูดจาไร้สาระ ระวังข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
หลินสวินหรี่ตาลง อดมองไปที่หลินจงไม่ได้ กลับเห็นว่าฝ่ายหลังใบหน้าพลันเปลี่ยนสี เส้นเลือดบนศีรษะปริแตก โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
ทว่าที่เกินคาดคือ สุดท้ายหลินจงกลับไม่ระเบิดออกไป เพียงแต่ใบหน้าหม่นหมองลงไปมาก อ้างว้างและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินนึกทอดถอนใจ ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนผู้มีชื่อสะเทือนเมืองต้องห้ามเมื่อหกสิบปีก่อน…เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้หนอ?
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นแสดงสีหน้าได้ใจขึ้นไปอีก
“แหม ไม่คิดว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้จะอดทนเสียจริง”
“อย่างนี้สิถึงเป็นหมาเฝ้าประตูที่เข้าท่า”
เมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจหาใดเปรียบเช่นนี้ หลินต้าหงที่อยู่ไกลออกไปกลับใจกระตุกวูบ สีหน้าแปลกประหลาดถึงที่สุด
ประหนึ่งทั้งสงสาร ทั้งขัดเคือง
“เจ้าหนู สุดท้ายขอถามเจ้าคำเดียว จะรับปากหรือไม่รับปาก”
ทันใดนั้น เซียวเฟิ่งหรูหมดความอดทนแล้ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาหยาบคาย
สือจั่นกับฉางจื่อเหิงก็ทอดสายตามองมา
บรรยากาศในโถงน่าเงียบสงัด ที่อยู่ใต้เท้าหลินสวินคือหนังสือสัญญา ดูแล้วหากเขาพยักหน้า ความวุ่นวายนี้ก็จะจบลงได้
พยักหน้าช่างเป็นเรื่องง่ายดาย แต่หลินสวินจะรับปากจริงหรือ
หลินต้าหงเวลานี้ในใจหดเกร็งไม่หยุด มองไปที่หลินสวิน
เวลาราวหยุดนิ่งไปโดยพลัน
บนที่นั่งประธานกลางโถง หลินสวินที่ปีนี้อายุสิบห้าปีดูสุขุมมาโดยตลอด กระทั่งตอนนี้ เขายังคงไม่แสดงความหวั่นไหวออกมา
บนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม มีความสุขุมเยือกเย็นที่ไม่สมกับอายุแต้มอยู่
แต่ในสายตาของพวกเซียวเฟิ่งหรูนั้น ความสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้คือการนั่งรอความตายหลังถูกบีบจนอับจนหนทาง
พวกเขานึกย่ามใจแล้วว่า เมื่อหลินสวินยอมลงนามบนหนังสือสัญญา ก็เท่ากับได้ทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ ยามพวกเขากลับไปจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างงาม!
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งรีบร้อนจนทนไม่ไหว
เห็นหลินสวินไม่ไหวติงเลยสักนิด เซียวเฟิ่งหรูก็อดไม่ไหวถามขึ้นเสียงแหลม “เจ้าหนู เจ้า…”
ไม่ทันพูดจบ ก็พลันเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น! พวกเขาเห็นเพียงหลินสวินเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากระบายยิ้มบางๆ จากนั้นเขาก็โบกมือเบาๆ
กริยาพยักหน้านั้นง่ายมาก
กริยาโบกมือก็เรียบง่ายเช่นกัน
แต่ความหมายของสองสิ่งนี้กลับไม่เหมือนกันเลย
เซียวเฟิ่งหรู ฉางจื่อเหิง สือจั่นอดตะลึงไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าหลินสวินโบกมือเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
แต่ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบน่ากลัวเกินสิ่งใดปกคลุมพวกเขาโดยฉับพลัน
จิตสังหารที่น่ากลัวปานนี้ ราวทะลุตรงเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เลือดในกายพวกเขาเหมือนถูกแช่แข็ง สะท้านขวัญสั่นประสาท ภายในใจตื่นกลัวและสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบขาดอากาศหายใจ!
สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน เพิ่งรู้สึกตัวว่าชายร่างสูงใหญ่กำยำดั่งภูผาที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของหลินสวินนั้น ไม่รู้ลืมตาที่หลุบลงเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อไร
เดิมทีเขาสงบนิ่งราวรูปปั้น ทำให้คนมองผ่านไปโดยง่ายดาย แต่ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้นมานั้น ก็เหมือนอสูรร้ายโบราณที่ตื่นขึ้นจากนิทรา โอบล้อมไปด้วยจิตสังหารร้ายกาจ!
จิตสังหารน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับพันพลหมื่นม้าฝ่าภูเขาศพทะเลเลือดออกมา พาให้ฟ้าถล่มดินถลาย เกิดเสียงครั่นครืน
“นี่…”
“ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ!”
“จิตสังหารน่าสะพรึงนัก!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์