สัตว์วิญญาณที่มีลูกไฟทองทลายดาราตัวเดียวก็ทำให้หยางหลิงปลื้มปิติจนเก็บไม่อยู่
และตอนนี้ ก็ได้ทำให้ผู้เฒ่าเตียวถึงกับเสียอาการเพราะเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ที่หลินสวินสร้างขึ้น
หลินสวินผ่านบททดสอบที่สร้างเอาไว้ ทำเอาเสี่ยวเคอและพญาแร้งอดแปลกใจและตะลึงในความสามารถไม่ได้
แต่สำหรับตัวหลินสวินเอง แม้บททดสอบครั้งนี้จะจบลงอย่างราบรื่น แต่เขาเองกลับยังมีประเด็นสงสัยอีกไม่น้อย
…
หลินจงที่อารมณ์ยังพลุ่งพล่านพาชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวจากไป เขาต้องตระเตรียมที่พักให้ทั้งสาม
“เหตุใดต้องเป็นนักหลอมยาคนหนึ่ง นักหลอมอาวุธคนหนึ่งและนักสลักวิญญาณอีกคน?”
เมื่อสบโอกาสหลินสวินก็ถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ
เดิมเขาคิดว่าคนที่พญาแร้งหามาให้ตนต้องเป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิด
“ตอนนี้พวกเขาทั้งมีประโยชน์ยิ่งกว่า และช่วยเหลือเจ้าได้มากกว่าผู้ฝึกปราณ”
พญาแร้งเหมือนจะไม่ได้แปลกใจ พูดขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “แม้ตอนนี้ภูเขาชำระจิตยังว่างเปล่า ถูกปล่อยให้รกร้างมาหลายปี แต่เจ้าอย่าลืมว่ามันเป็นหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจจากทั้งเจ็ดสิบสอง และเป็นดินแดนแห่งพลังวิญญาณชั้นยอดที่สุดของนครต้องห้าม!”
“สวนโอสถวิญญาณในนี้หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณอันมหาศาลเอาไว้ สามารถเพาะปลูกโอสถวิญญาณที่มีทั้งประสิทธิภาพและมูลค่า”
“ห้องหลอมยาของที่นี่หากสามารถใช้อย่างเต็มที่ ก็เพียงพอที่จะหลอมลูกกลอนวิญญาณชั้นเลิศออกมาได้มากมาย”
“สถานที่หลอมอาวุธในนี้…”
พญาแร้งยกตัวอย่าง ท่าทางดูเข้าใจภูเขาชำระจิตเป็นอย่างดี “เอาเป็นว่า แม้จะถูกปล่อยให้รกร้างมานาน แต่อย่างไรก็เป็นรากฐานที่ตระกูลหลินของเจ้าสร้างเอาไว้ให้ ถ้าใช้มันอย่างเต็มที่ ย่อมสามารถแลกความมั่งคั่งมาให้กับเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”
หลินสวินเข้าใจทุกอย่างทันที พูดพร้อมดวงตาดำขลับที่ทอประกาย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
พญาแร้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไม่เพียงเท่านี้ ในขณะที่พวกเขาสามคนเริ่มสร้างความมั่งคั่งมาให้ภูเขาชำระจิต เจ้าก็สามารถใช้เงินที่มีอยู่ไปซื้อตัวผู้มีฝีมือในนครต้องห้ามมาทำงานอย่างถวายชีวิตให้เจ้าได้”
“ในนครต้องห้ามนี้ การจะว่าจ้างผู้แข็งแกร่งฝีมือเก่งการเป็นเรื่องที่ง่ายมาก!”
“ว่าจ้าง?” หลินสวินตะลึง
“ใช่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลิน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือหาผู้มีฝีมือมาทำงานถวายชีวิตให้ การจะเลี้ยงดูกองกำลังของตัวเองขึ้นมาต้องเสียทั้งแรงทั้งเวลาอย่างมาก ใช่ว่าจะสำเร็จได้ภายในวันเดียว และในช่วงสั้นๆ นี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”
พญาแร้งแจง “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเจ้าจัดการศึกภายในตระกูลหลินได้ น่าจะสามารถดึงลูกหลานตระกูลหลินส่วนหนึ่งมาเป็นกำลังสำคัญของตัวเอง กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ทำแบบนี้นอกจากช่วยให้คลี่คลายความขัดแย้งภายในตระกูลด้วยกันเอง ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้ฐานะของเจ้าในวงศ์ตระกูล นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด!”
“เพราะถ้ารอบข้างเจ้ามีแต่คนนอก หลังจากที่เจ้ารวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว คนในตระกูลจะยอมให้คนนอกพวกนั้นมายกมือวาดเท้าสั่งการพวกเขาหรือ? มันจะกลายเป็นความขัดแย้งเสียมากกว่า!”
“และในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลิน สิ่งที่เจ้าต้องแบกรับคือความรับผิดชอบและผลประโยชน์ทั้งหมดของตระกูล ถ้าเจ้ายกภาระหน้าที่ทั้งหมดให้คนนอกจัดการ ความหมายนี้ก็จะเปลี่ยนไป”
การอธิบายยาวเหยียดและครอบคลุมของพญาแร้งราวกับได้เตือนสติ ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนกระจ่างแจ้งทุกอย่างขึ้นมาทันที
หากไม่ใช่เพราะพญาแร้งเตือน เขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยสักนิด
เห็นได้ว่าการจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลที่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“ขอบคุณที่ชี้แนะ” หลินสวินขอบคุณจากใจจริง
พญาแร้งระบายยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าว่า ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างเป็นยอดฝีมือที่หายาก หากพวกเขายอมอยู่กับเจ้าที่ภูเขาชำระจิตไปชั่วชีวิต แน่นอนว่าจะต้องนำพาผลประโยชน์อันเหนือความคาดหมายมาสู่ตระกูลหลินของเจ้า”
ขณะนั้นเอง เสี่ยวเคอที่เงี่ยหูฟังอย่างสงบอยู่ห่างๆ พลันเม้มปากและยิ้มพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ผู้มีอำนาจในกรมทหารของจักรวรรดิจำนวนไม่น้อยต่างอยากดึงตัวพวกเขาไป แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด”
หลินสวินเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย พลันยิ้มพูด “ข้าจะพยายาม”
เขาเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกชื่อเซวี่ยอยู่ต่อแล้ว จะนำพา ‘ความประหลาดใจ’ อันใดมาให้เขาบ้าง?
“แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะนำพาความมั่งคั่งมาให้ภูเขาชำระจิต มีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่เจ้าต้องทำ” จู่ๆ พญาแร้งก็เอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไร?”
“ฟาดด้วยเงิน!”
พญาแร้งอธิบายอย่างใจเย็น “การเพาะปลูกโอสถวิญญาณจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์โอสถวิญญาณ การหลอมลูกกลอนวิญญาณต้องซื้อโอสถวิญญาณ ต่อให้เป็นการหลอมอาวุธ ก็ยังต้องใช้วัตถุวิญญาณมากมาย ถ้าจะให้ผู้เฒ่าเตียววางค่ายกล วัตถุวิญญาณที่ใช้มีแต่จะมากขึ้น… ทั้งหมดนี้ล้วนต้องมีกำลังทรัพย์อย่างมหาศาลมาสนับสนุน”
สีหน้าของหลินสวินแข็งทื่อไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างสลด “ไม่สร้างครอบครัวไม่รู้ทุกข์ของคนมีครอบครัว”
…
ช่วงพลบค่ำในวันเดียวกัน หลินสวินและหลินจงออกจากภูเขาชำระจิตมุ่งหน้าไปที่อัครการค้าอีกครั้ง
พอรู้จุดประสงค์การมาของหลินสวิน สืออวี่ก็ให้หลินสวินยืมมาสามแสนเหรียญทองอย่างไม่ลังเล ทั้งยังให้ป้ายสั่งทำเป็นพิเศษของอัครการค้าอีกป้ายหนึ่ง
อาศัยป้ายนี้ ต่อไปเมื่อหลินสวินเข้าอัครการค้า ก็จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด สามารถซื้อสมบัติทุกชิ้นในนี้ได้ในราคาที่ถูกที่สุด
จากที่สืออวี่เล่า ในบรรดาผู้คนทั้งนครต้องห้าม คนที่ได้ครอบครองป้ายแบบนี้มีไม่เกินร้อยคนแน่!
ในจำนวนนั้นมีทั้งราชวงศ์จักรวรรดิ ตระกูลมหาอำนาจ รวมทั้งเหล่าคนใหญ่คนโตจากสำนักศึกษามฤคมรกตและกรมทหาร
เท่านี้คงเห็นความทรงเกียรติของป้ายนี้แล้ว
แน่นอนว่าที่สืออวี่กล้าทำแบบนี้ ไม่เพียงเพราะฐานะของตัวเอง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินเอามาประมูลพวกนั้นก็เพียงพอจะทำให้หลินสวินได้รับผลประโยชน์ระดับนี้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์