เมื่อหลินสวินเดินลงมา ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
ไม่ต้องสงสัย นี่คงเป็นดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
หลินจงเดินไปข้างหน้า แล้วเอ่ยชี้แจงกับผู้คุ้มกันที่ยืนเฝ้าหน้าประตูคฤหาสน์ ไม่นานนักก็เห็นร่างของหลินต้าหงรีบรุดวิ่งออกมาจากส่วนลึกในคฤหาสน์
เขายิ้มพลางยกมือคารวะ “ขออภัยที่มิได้ออกมาต้อนรับ รีบตามข้ามาเถิด” พูดพลางเชิญหลินสวินเข้าด้านใน
หลินสวินยิ้มให้แล้วเดินตามเขาเข้าไปภายในคฤหาสน์
หลินจงกับจูเหล่าซานตามหลังมาติดๆ เหมือนบริวารผู้ซื่อสัตย์ภักดี
ทว่าเพียงเดินเข้ามาในคฤหาสน์เท่านั้น ยังไม่ทันที่หลินสวินได้ประเมินโดยรอบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหบแห้งราวเป็ดตัวผู้ดังขึ้น
“เจ้าเด็กนั่นกล้ามาหรือนี่? หึๆ ใจกล้าดีนี่ เขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
เสียงนี้ยังไม่หายไป ก็เห็นคุณชายในชุดสีทองทั้งตัวคนหนึ่ง มือถือพัดหยกเดินออกมา ด้านหลังมีกลุ่มชายหญิงติดตาม ท่าทางเหิมเกริม
คุณชายชุดทองเมื่อได้เห็นหลินสวินก็พลันยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “โอ้ เจ้าคงเป็นหลินสวินคนนั้นสินะ ที่เพ้อพกท้าสู้กับท่านพี่เสวี่ยเฟิงของข้า เจ้าหนูอย่างเจ้านี่บ้าระห่ำใช่เล่น”
“เจ้าเด็กคนนี้คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษนี่”
“ดูท่าทางน่าจะเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกับกล้ายุ่มย่ามในภูเขาชำระจิต”
ชายหญิงที่อยู่เบื้องหลังคุณชายชุดทองพวกนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์หลินสวินอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้อยคำแม้ไม่หยาบคาย แต่ไม่เกรงใจและสบประมาทยิ่ง
เพิ่งเข้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ก็ถูกชายหญิงเยาว์วัยเหล่านี้ขวางไว้อย่างเหิมเกริม นี่ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ มองไปยังหลินต้าหงที่อยู่ด้านข้าง
ทว่าเห็นหลินต้าหงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตวาดกลับไปว่า “เสวี่ยตง อย่าเสียมารยาท! หลินสวินเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกเราตระกูลหลินแห่งแสงอุดร รีบถอยไป ไม่อย่างนั้นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่”
คุณชายชุดทองกลับไม่กลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย พูดขึ้นอย่างโอหังว่า “ท่านอาต้าหง พวกข้ารู้อยู่แล้วว่าหลินสวินเป็นแขก แต่ข้าว่าเขาไม่เห็นวิเศษโสตรงไหน มีคุณสมบัติมาท้าสู้กับพี่เสวี่ยเฟิงได้อย่างไรเล่า”
“จริงด้วย สถานะของท่านพี่เสวี่ยเฟิงในตอนนี้ ใช่ว่าใครก็ท้าประลองได้เสียที่ไหน”
ชายหญิงคนอื่นก็คล้อยตามเซ็งแซ่
สีหน้าหลินต้าหงยิ่งบึ้งตึง เอ่ยว่า “ถ้าพวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีก ก็อย่ามาว่าที่ข้ายึดกฎตระกูลมาจัดการพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
เขาคาดไม่ถึงว่าเพิ่งรับหลินสวินเข้าคฤหาสน์มา ก็จะได้เจอเรื่องพรรค์นี้เข้าเสียแล้ว ถ้านี่ทำให้หลินสวินเข้าใจผิดไปคงวุ่นวายน่าดู
ความโอหังของชายหญิงกลุ่มนั้นพลันถูกยับยั้งลงไปไม่น้อย ทว่าคุณชายชุดทองยังคงคอตั้งบ่า กล่าวว่า “ท่านอาต้าหง ข้าไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่อง ขอเพียงเจ้าหนูนี่ผ่านด่านข้าไปได้ พวกเราจะเปิดทางให้เอง หาไม่แล้วต่อให้ถูกลงโทษตามกฎตระกูล วันนี้เขาก็อย่าได้หวังไปท้าทายท่านพี่เสวี่ยเฟิงอีกเลย!”
“เจ้า…”
หลินต้าหงโกรธจนหน้าเขียว แต่ก็จนใจ
คุณชายชุดทองตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหลินเสวี่ยตง เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลินเสวี่ยเฟิง และเป็นบุตรชายคนรองของหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหลินไหวหย่วน
ด้วยฐานะของหลินต้าหง เขาไม่อาจทำอะไรได้
เห็นเพียงหลินเสวี่ยตงมองไปยังหลินสวินด้วยสีหน้าเอาเรื่องเต็มที “หลินสวิน ถ้าเจ้ากล้าก็อย่าทำให้ท่านอาต้าหงลำบากใจ เป็นไง กล้าประลองกับข้าสักรอบรึไม่”
ชายหญิงกลุ่มนั้นล้วนตื่นเต้นตะโกนร้องขึ้น
“เป็นชายก็ต้องรับคำท้าสิ!”
“แหม เจ้าเด็กนี่คงกลัวเสียแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ในเมืองไม่ได้ลือกันหรอกหรือว่าเขาเป็น ‘เจ้าตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’ ไม่รู้ว่าสร้างเรื่องน่าขันไว้มากแค่ไหน”
“เจ้าตระกูลอะไรกัน อย่างเขาก็เป็นได้หรือ ไม่ได้รับการยอมรับจากพวกเรา เขาไม่มีทางสืบทอดภูเขาชำระจิตอย่างเต็มภาคภูมิตลอดกาล”
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตาเยือกเย็น มาถึงตอนนี้ก็แน่ใจประมาณหนึ่งแล้วว่า ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนี้ คงมีคนจำนวนมากไม่ต้องการเห็นตนมาเยือน แม้แต่การประลองของตนกับหลินเสวี่ยเฟิงก็เต็มไปด้วยเสียงคัดค้านเสียด้วยซ้ำ
“หลินสวิน คือ…”
หลินต้าหงตั้งท่าจะอธิบาย หลินสวินก็ส่ายหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย แสดงท่าทีไม่แยแส แล้วพูดว่า “จูเหล่าซาน เจ้าเปิดทางข้างหน้าให้ที”
แย่ล่ะ!
หลินต้าหงสะท้านใจ กลัวอะไรก็ได้เช่นนั้นจริงๆ เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินจะไม่พูดอะไรสักคำ แล้วส่งจูเหล่าซานคนน่ากลัวผู้นี้ออกมา
เมื่อแรกขึ้นภูเขาชำระจิตนั้น จูเหล่าซานอาศัยเพียงจิตสังหารก็บีบให้พวกเซียวเฟิ่งหรูทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นได้!
ฝีมือชั้นนั้น สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วหล้า ถ้าครั้งนี้จูเหล่าซาน ‘ปฏิบัติหน้าที่อย่างรุนแรง’ คงน่ากลัวมาก
หลินต้าหงคิดจะยั้งไว้ก็สายไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว
เงาร่างกำยำราวหอคอยเหล็กของจูเหล่าซานยืนตระหง่าน ใบหน้าหนวดเครารุงรังไม่แสดงสีหน้า เดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้า
“หลินสวินเจ้า…”
หลินเสวี่ยตงตกใจระคนโกรธเคือง คิดว่าหลินสวินไร้ยางอายนัก ให้บริวารออกหน้า แต่ตัวเขาเองกลับขี้ขลาดตาขาวราวเต่าหดหัวในกระดอง ช่างไม่มีความกล้าเอาเสียเลย
เขาเพิ่งเอ่ยปาก ก็พลันรู้สึกราวกับทั้งร่างถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นจับไว้อย่างโหดเหี้ยม แล้วโยนออกไปอย่างไร้ความปรานี กลิ้งกระดอนลงไปบนพื้นเสียงดังปึ้ง จะพยายามอย่างไรก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้
ไม่เพียงหลินเสวี่ยตง กลุ่มชายหญิงที่ขวางทางด้านหน้านั้น ขณะนี้ล้วนถูกกระแทกจนตัวลอย แล้วล้มลงบนพื้นระเนระนาด
อย่าว่าแต่พยายามดิ้นรนเลย ขนาดแรงจะส่งเสียงร้องครวญครางยังไม่มี ราวถูกตรึงไว้ตรงนั้น ยับเยินอย่างที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์