“หลินสวิน ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย สิ่งที่แบกรับไว้มีมากเกินไปแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้าคงรับภาระหนักอึ้งนี้ไว้ไม่ไหวหรอก”
หลินเสวี่ยเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มอบให้ข้าเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเช่นนี้ ตระกูลหลินแห่งนี้ต่อไปให้ข้ารับไว้แต่ผู้เดียวก็พอแล้ว!”
ตาทุกคู่มองไปที่หลินสวิน คนมากมายเห็นว่าหลินเสวี่ยเฟิงแสดงให้เห็นน้ำใจจริงที่มากพอแล้ว ถ้าหลินสวินจะไม่สนใจ ก็ถือว่าอยากตาย
สีหน้าหลินจงหม่นหมองลงไปมาก เดิมเขานึกว่านี่จะเป็นเพียงการประลองเท่านั้น ใครจะคิดว่ากลับซุกซ่อนลูกไม้สกปรกไว้มากมายขนาดนี้! ถ้ารู้เช่นนี้เสียแต่แรก คงไม่ให้นายน้อยมาที่นี่!
“เฮ้อ” หลินสวินพลันถอนหายใจยาวท่ามกลางความเงียบ “ไม่คิดว่าในตระกูลหลินจะได้พบคนรู้ใจข้าในที่สุด เข้าใจหัวอกข้า รู้สถานการณ์ของข้า ที่สำคัญยังอยากช่วยข้าแบ่งเบาภาระโดยไม่สนใจสิ่งใดเลย”
ฝูงชนตื่นเต้น ในใจคิดว่าเจ้าหนูนี่ยังพอมีปัญญา ย่อมเห็นว่าการยอมรับถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด ถ้าหลินสวินยังไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไรอีกก็ไม่รู้อันตรายแล้ว
รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนริมฝีปากของของหลินเสวี่ยเฟิงยิ่งอ่อนโยนขึ้น ท่าทีของหลินสวินทำให้เขาพึงพอใจ ในใจถึงกับคิดไว้แล้วว่า เมื่อหลินสวินยกสิทธิ์เหนือภูเขาชำระจิตให้ อาจจะมอบผลประโยชน์บางอย่างให้อีกฝ่ายก็เป็นได้
แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ หลินสวินกลับพลิกลิ้นพูดเรียบๆ ว่า “ข้าหลินสวินมีคุณธรรมใด มีความสามารถใด จึงได้รับความกรุณาสนับสนุนเช่นนี้” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าหลินสวินหนักแน่น พูดอย่างทรงอำนาจว่า “ช่างเถอะ ภาระนี้ให้ข้ารับไว้คนเดียวเถิด ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครมันจะไปลงนรกเล่า”
ทั้งลานตกตะลึง ล้วนแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เจ้าเด็กนี่มันบ้าไปแล้วกระมัง ถึงได้พูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้
รอยยิ้มบนมุมปากของหลินเสวี่ยเฟิงเกร็งขึ้น พูดราวกับไม่เชื่อว่า “หลินสวิน เจ้า…เข้าใจผิดไปแล้วหรือไม่”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจพูดว่า “ท่านพี่ ท่านไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอก บาปนี้ให้ข้ารับไว้เองเถิด”
ชั่วขณะนี้ ฝูงชนรับรู้ได้แล้วว่าหลินสวินตั้งใจกวนโมโหพวกเขา!
ร้ายนัก!
หลายคนแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ เจ้าเด็กนี่มันแผลงฤทธิ์เกินไปแล้ว ไม่ยอบรับก็พูดตรงๆ ถึงกับกล้าล้อพวกตนเล่น มันรนหาที่ตายเสียจริง!
จิตใจนิ่งสุขุมของหลินเสวี่ยเฟิง ขณะนี้เริ่มรู้สึกอึดอัดจนแสดงท่าทีเย็นชาโดยไม่รู้ตัว
“ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นพวกเรามาแสดงฝีมือที่แท้จริงกันเถอะ!” หลินเสวี่ยเฟิงแสดงท่าทีร้ายมาร้ายกลับ
หลินสวินยิ้มบาง เห็นด้วยอย่างยิ่งแล้วพูดว่า “ควรทำอย่างนี้เสียตั้งนานแล้ว”
ริมฝีปากหลินเสวี่ยเฟิงกระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น เขาพลันสัมผัสได้ว่าถ้าสนทนาต่อไปอีก น่ากลัวว่าตนจะถูกหลินสวินยั่วโมโหจนเสียอาการ
“น่าโมโหนัก เจ้าเด็กนี่ทำเกินไปแล้ว ท่านพี่เสวี่ยเฟิง ต้อนสั่งสอนบทเรียนที่ทำให้มันจำไปจนตายเชียว!” มีคนตะโกนออกมาอย่างขัดเคือง
“ใช่! จะปล่อยมันไปง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด!” คนอื่นพลอยตะโกนตาม ในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาล
หลินไหวหย่วน หลินต้าเชียนและคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปอดนิ่วหน้าไม่ได้ ในใจไม่หวังให้หลินสวินรับรู้ได้ถึงความยากลำบากแล้วยอมแพ้ไปเองอีกแล้ว
ในความคิดของพวกเขา หลินสวินเป็นเด็กน้อยโอหังที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา สู้หัวชนฝา ก็คงต้องให้บทเรียนจริงๆ ถึงทำให้เข้าใจสภาพการณ์ตอนนี้อย่างชัดเจน
ทว่าหลินจงกลับยิ้มออกมา นายน้อยก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เก็บงำความสามารถของตนไว้ แต่อย่าได้คิดว่าจะเอาเปรียบเขาเชียว!
ฉับพลัน จิตใจหลินจงอดตึงเครียดไม่ได้ ถ้าประลองกันจริง เขาเองก็กังวลว่าหลินสวินจะทนสู้กับหลินเสวี่ยเฟิงได้ถึงร้อยกระบวนท่าหรือไม่
อย่างไรเสียพลังปราณของพวกเขาสองคนก็ห่างชั้นกันถึงหนึ่งขั้นใหญ่!
นอกจากนี้หลินเสวี่ยเฟิงก็เทียบกับคนทั่วไปไม่ได้ เป็นถึงผู้ถูกเลือกที่ผ่านการทดสอบระดับอาณาจักร นี่ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้นายน้อยขึ้นไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้หลินจงก็อับจนหนทาง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ได้แต่หวังให้เกิดปาฏิหาริย์กับหลินสวิน
…
“หนึ่งร้อยกระบวนท่า ถ้าเจ้าไม่ล้มก็ถือว่าเจ้าชนะ!”
ในลานฝึกยุทธ์ หลินเสวี่ยเฟิงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ชั่วพริบตานั้นพลังรอบตัวเขาพลันเปลี่ยนแปรผันผวน ละอองฝนลอยละล่อง เผยพลังออกมา พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวพุ่งปะทะผืนเมฆ ปั่นป่วนสภาพอากาศ
ชุดขาวของเขาปลิวไหว เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แสดงพลังอำนาจของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณออกมาอย่างเต็มที่
คนในลานมากมายดวงตาเปล่งประกาย ทั้งส่งสียงร้องด้วยความตื่นตะลึงไม่หยุดหย่อน
“จำไว้ ข้าจะไม่เกรงใจ แสดงฝีมือออกมาเถอะ” ผมยาวของหลินเสวี่ยเฟิงปลิวไปตามลม รอบตัวห้อมล้อมด้วยละอองฝนลอยละล่อง ประหนึ่งเทพเซียน
หลินสวินยิ้มบางๆ “ดีที่สุดอย่าได้เกรงใจ มิเช่นนั้นหากท่านเกิดแพ้ขึ้นมา คนอื่นจะพานคิดว่าท่านจงใจออมมือให้ข้า ทำให้ข้าไม่สบายใจ”
“เจ้า…” ดวงตาหลินเสวี่ยเฟิงอึมครึม
สวบ!
ตอนนี้เอง หลินสวินเริ่มออกโจมตีแล้ว เงาร่างราวสายฟ้า เหนี่ยวนำแสงสว่างสีฟ้าใสเปล่งประกายราวหยกโผนกระโจนไปกลางนภา
โครม! หมัดเปล่งประกายพร่าพราวซัดออกมา
มีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ดังหมัดทลายภูผานที กดทับสรรพสิ่ง ที่แท้ก็เป็นกระบวนท่าทลายภูผาในเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์นี่เอง!
เสียงหวีดหวิวระงมท้องฟ้า อากาศไหลเวียนวิปริตแปรปรวน
หืม?
หลินไหวหย่วนที่อยู่ห่างออกไป รวมถึงผู้เก่งกาจจำนวนหนึ่งอย่างหลินต้าเชียนดวงตาฉายแววตกตะลึง ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าสามารถใช้พลังน่ากลัวขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
มิน่าเด็กคนนี้ถึงกล้ารับคำท้าประลอง ที่แท้ก็พอมีดีอยู่บ้าง
น่าเสียดายคนที่เขาเจอคือเสวี่ยเฟิง ต่อให้ในขั้นผสานฟ้าเขาจะเก่งกาจแค่ไหน อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้
หลินเสวี่ยเฟิงในตอนแรกไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เขามองว่าหลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้าเท่านั้น ทั้งยังอ่อนวัยกว่าตน มาดวลกับเขาก็ไม่ต่างกับมดน้อยเขย่าต้นไม้ หรือทุบหินด้วยไข่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์