เด็กหนุ่มผู้นี้ลำพองใจว่าตลอดการฝึกปราณนั้นตนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลหลินแห่งแสงอุดร การทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อไม่นานนี้ก็ได้อับดับที่เจ็ดสิบเก้า และถูกรับเข้าศึกษาในสำนักศึกษามฤคมรกตโดยราบรื่น
คนเช่นนี้ เป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแต่เพียงผู้เดียว
แต่ตอนนี้เมื่อได้ประลองกับหลินสวิน เขาไม่เพียงกำราบคู่ต่อสู้ไม่ได้ หนำซ้ำยังถูกโจมตีกลับจนได้รับบาดเจ็บ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นการเหยียดหยามดูหมิ่นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้า อายุอานามหรือก็น้อยกว่าเขา กลับโจมตีให้เขาบาดเจ็บในการประลองได้ เช่นนี้แล้วหลินเสวี่ยเฟิงจะไม่ขัดเคืองได้หรือ
“ก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าไว้ต่ำไปจริงๆ แต่ว่าการประลองนี้ยังไม่จบ!” ดวงตาหลินเสวี่ยเฟิงฉายแววเย็นชาราวคมดาบ เย็นเยียบดูน่ากลัว เขาถูกยั่วให้โมโหจริงๆ แล้ว
แต่หลินสวินที่อยู่ตรงข้ามกลับยิ้มน้อยๆ ร่างเขาอาบไปด้วยเลือด รอยแผลนับไม่ถ้วน เลือดยังหยดติ๋งลงบนพื้นไม่ขาดสาย ดูน่าสะพรึงถึงที่สุด
นี่ทำให้คนมากมายคิดว่าถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป หลินสวินที่ใช้พลังทั้งหมดแล้วต้องปราชัยแน่นอน
ทว่าตอนนี้ ในช่วงเวลาที่โหดร้ายสาหัสเช่นนี้ เขากลับยิ้มออกมาอย่างผิดคาด!
เหตุใดถึงยิ้มออกมาได้เล่า
ผู้คนโกรธเคืองหน้าเสีย คิดในใจว่า หรือเจ้าเด็กนี่จะยิ้มเยาะพวกเขาอยู่
“เสวี่ยเฟิง ถอยไปเถอะ เกินร้อยกระบวนท่าแล้ว การประลองนี้…ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีกแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงเคร่งขรึมทรงอำนาจดังขึ้นจากที่ไกลๆ เป็นหลินไหวหย่วนเอ่ยปากแล้ว
ทั้งลานพลันตกตะลึง ทำสีหน้าไม่ถูก ครั้นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตั้งแต่เริ่มประลองจนถึงตอนนี้ก็เกินข้อตกลงร้อยกระบวนท่ามาแล้วจริง
และตามกฎแล้ว เพียงหลินสวินทนได้ถึงร้อยกระบวนท่าโดยไม่ล้มลงไปก็ถือว่าชนะ
ชั่วขณะนั้นเอง แม้แต่สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงยังแย่ลงไปอย่างหาใดเปรียบ ดวงตาเต็มไปด้วยไฟขัดเคือง เขากลับลืมจุดนี้ไปได้!
หรือว่า…ตนต้องยอมแพ้เจ้าเด็กขั้นผสานฟ้านี่จริงๆ
หลินเสวี่ยเฟิงรู้สึกลำบากใจ ทรมานใจราวต้องกินแมลงวัน เกียรติยศและความภาคภูมิของเขาไม่อาจทำให้เขายอมก้มหัวในเวลานี้ได้!
ถึงขนาดที่เขาไม่อยากรามือเช่นนี้ในเวลานี้เลย
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง จะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าหลินเสวี่ยเฟิงพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้าผู้หนึ่งหรอกหรือ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คงได้กลายเป็นเรื่องขบขันในนครต้องห้ามแน่!
บรรยากาศเงียบเชียบ
เวลานี้เองฝูงชนรู้แล้วว่าเหตุใดหลินสวินจึงพลันยิ้มขึ้น นั่นคือรอยยิ้มของผู้ชนะ ดูช่างบาดตานัก
หลินจงที่อยู่ไกลออกไปก็หัวเราะขึ้น ยินดีราวเสียสติ พูดกับหลินต้าหงที่อยู่ด้านข้างว่า “ไง ท่านคิดว่านายน้อยบ้านข้าเป็นอย่างไร”
หลินต้าหงสีหน้าหม่นหมอง มาถามเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า เขาคับแค้นใจ ทำได้เพียงส่งเสียงหึเจื่อนๆ ออกมา
หลินจงยิ่งหัวเราะชอบใจ ฝีมือของนายน้อยในวันนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา อดเปลี่ยนความคิดไม่ได้
เขาถึงกับคิดว่า ถ้านายน้อยไม่พลาดการทดสอบระดับอาณาจักร ด้วยความสามารถในการต่อสู้เช่นนี้ น่ากลัวจะผ่านการทดสอบได้โดยราบรื่นแล้ว!
ไม่ทันให้หลินจงได้ดีใจ หลินสวินที่อยู่ในลานฝึกยุทธ์พลันพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ยอมแพ้หรือ”
หืม?
ฝูงชนล้วนตกตะลึง สีหน้าหลายคนพลันนิ่งขึงขึ้น การประลองก็จบลงแล้ว ใยเจ้าเด็กนี่ยังเอาสถานะผู้ชนะเข้าข่มอีกเล่า
หลินเสวี่ยเฟิงส่งเสียงหึหยัน ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาราววารี เขาสาบานไว้ในใจ ถ้าหลินสวินกล้าเอ่ยวาจาลบหลู่เขา เขาจะละเมิดกฎอย่างไม่ถือสา พุ่งเข้าต่อยอีกฝ่ายให้เต็มแรงหนึ่งหมัด!
ที่เกินคาดคือหลินสวินหุบยิ้มลง พูดเสียงเรียบว่า “ถ้าไม่พอใจ อีกหนึ่งถ้วยชาข้าจะให้โอกาสเจ้าประลองอีกครั้งหนึ่ง”
อะไรนะ?
ทั้งลานส่งเสียงอื้ออึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เจ้าเด็กนี่มันบ้าไปแล้วหรือ ตอนนี้เขาเจ็บหนักแบบนี้แล้ว ยังกล้าท้าหลินเสวี่ยเฟิงประลองต่ออีก
หนึ่งถ้วยชาเนี่ยนะ!
ให้เวลาเท่านี้ น่ากลัวจะฟื้นร่างกายกลับมาไม่ได้หรอก!
“นายน้อยบ้านเจ้านี่ใจกล้าเอาเรื่องเลยนะ” หลินต้าหงที่อยู่ไกลออกไปพลันยิ้ม
คราวนี้เป็นหลินจงที่สีหน้าเคร่งเครียดเสียแล้ว ใจเขาร่ำร้องอย่างเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน ไม่เข้าใจว่าในเมื่อหลินสวินได้รับชัยชนะแล้ว เหตุใดจึงต้องสู้อีกยกหนึ่ง
ขนาดหลินไหวหย่วนที่อยู่ไกลออกไปยังอดตะลึงไม่ได้ หลินสวินผู้นี้…คิดอะไรอยู่กันแน่
“เจ้าแน่ใจนะ?”. หลินเสวี่ยเฟิงสงสัย
“สัตบุรุษไม่อาจพูดเล่น ในเมื่อต่อไปข้าจะควบคุมตระกูลหลินทั้งหมด ย่อมไม่อาจนำเรื่องพรรค์นี้มาล้อเล่นได้” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
ควบคุมตระกูลหลิน!
ใจหลินเสวี่ยเฟิงบังเกิดไฟแค้นที่ไม่อาจควบคุมได้ขึ้น กัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาหรอก ให้เจ้าพักฟื้นฟูเต็มที่ เจ้าพร้อมสู้อีกเมื่อไร ข้าจะสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด!”
คำพูดนี้ดูเอ่ยออกมาอย่างงดงาม แต่ด้านอำนาจนั้นอ่อนด้อยกว่าหลินสวินไปขั้นหนึ่ง
ด้วยอย่างไรเสียตามเงื่อนไขก่อนหน้านี้หลินเสวี่ยเฟิงก็พ่ายแพ้ไปแล้ว เวลานี้เขายังยืนยันจะสู้อีก เห็นชัดว่าไม่โสภาเท่าไร
แต่ที่นี่คือตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเย้ยหยันหลินเสวี่ยเฟิง
ในทางกลับกัน เพราะหลินสวินพูดขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้ผู้คนในลานไม่น้อยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหลินสวิน เห็นว่าต่อให้เขาจะโอหังเช่นไร แต่ความกล้าเช่นนี้ก็หาคนเทียบเทียมได้ยาก
ทั้งลานเงียบสงบ ดวงตาทุกคู่มองไปยังหลินสวินที่ยืนอยู่โดดเดี่ยวตรงนั้น
ต่างกับที่ฝูงชนคาดไว้ หลินสวินไม่ได้นั่งขัดสมาธิฟื้นปราณ ไม่ได้กลืนยาวิญญาณเพื่อรักษาตน เพียงยืนนิ่งเช่นนั้น
เลือดย้อมสาบเสื้อ มือยันดาบกับพื้นยืนมั่น!
สายลมพัดมา ผมยาวปลิวสยาย บนใบหน้าคมสันหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาตอนนี้เพียงแสดงสีหน้ายากบรรยายออกมา
ตึง!
ทันใดนั้น พลังแข็งแกร่งหาใดเทียบพลันเอ่อล้นออกมาจากร่างของเขา พุ่งทะยานขึ้นไปยังท้องนภา สั่นสะเทือนเมฆา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์