ขณะที่หลินสวินเพิ่งจากไป ชายสูงวัยในชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น มองไปยังฮวาอู๋เหินที่หมอบนิ่งอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขด้วยสีหน้าตะลึงขึ้งโกรธ
ทันใดนั้นสีหน้าพลันเขาถมึงทึง พูดลอดไรฟันว่า “คุณชาย! นี่เป็นเจ้าสารเลวจากที่ไหน ในนครต้องห้ามแห่งนี้ ยังมีใครกล้าแตะคนตระกูลฮวาได้”
ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ลมหายใจน่าหวาดหวั่น น่าพรั่นพรึงจนคนรอบข้างสะท้านไปทั้งตัว
“ยังไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ พาข้าไปหาพี่รองก่อน” ฮวาอู๋เหินพูดพลางหอบหายใจ
“คุณชาย ตอนนี้ท่านควรกลับบ้านก่อน…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็ถูกฮวาอู๋เหินแทรกขึ้นอย่างโมโห “ข้าบอกว่าจะไปหาพี่รอง!”
“ขอรับ”
ชายสูงวัยชุดดำจนใจ พูดเสียงค่อยว่า “คุณชาย คุณหนูรองไปงานเลี้ยงรวมตัวเหล่าสหายที่หอสรวลทรัพย์ขอรับ ท่าน…”
“ก็ไปหอสรวลทรัพย์สิ!” ฮวาอู๋เหินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
จากนั้นชายสูงวัยชุดดำจึงพาฮวาอู๋เหินออกไปจากที่นั่น
จนเมื่อพวกเขาออกไปแล้ว ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ถึงถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่คิดว่าการต่อสู้วันนี้จะเร้าใจยิ่งนัก เริ่มจากฮวาอู๋เหินผู้นั้นเกือบสังหารหลินเสวี่ยเฟิง ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะมีตัวละครที่ร้ายกาจยิ่งกว่าโผล่มา ซัดฮวาอู๋เหินเสียเปิดเปิง น่ากลัวไปแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นโผล่มาจากไหน ไม่กลัวโดนเอาคืนหรือไงนะ ตระกูลฮวาเป็นถึงหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ด มองไปรอบจักรวรรดิ น้อยคนนักจะกล้ามีเรื่องด้วย”
“ไม่ได้ยินที่เจ้านั่นพูดหรือ เขาชื่อหลินสวิน มาจากภูเขาชำระจิต”
ฝูงชนอุทานตกใจ วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
เวลานี้พลันมีคนร้องขึ้นเสียงดัง “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็เขานั่นเอง! หลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ผู้นั้น!”
“ใช่แล้ว! ภูเขาชำระจิต นั่นไม่ใช่อาณาเขตที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหลินหรอกหรือ”
“มิน่าถึงได้ออกหน้าแทนหลินเสวี่ยเฟิง ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่ว่า…ตระกูลหลินตอนนี้เสื่อมอำนาจแล้ว เต็มที่คงเป็นได้เพียงตระกูลผู้มีอำนาจระดับล่าง หลินสวินผู้นั้นไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงกล้าทำร้ายฮวาอู๋เหินเช่นนี้”
“ใครจะรู้ล่ะ ที่ข้าสงสัยจริงๆ ก็คือ ความสามารถในการต่อสู้ที่หลินสวินผู้นั้นแสดงออกมาในวันนี้ ก็เพียงพอจะผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรได้แล้ว แต่ทำไมปีนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมเล่า”
“ใช่แล้ว ในเมื่อหลินสวินผู้นี้สามารถสู้ชนะผู้กล้าระดับฮวาอู๋เหินได้อย่างง่ายดาย แค่คิดก็รู้ว่าหน่วยก้านและพรสวรรค์จะน่ากลัวเพียงไหน แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ พาให้คนแปลกใจเสียจริง”
“เหอะๆ ไม่ว่าอย่างไร เกิดเรื่องนี้อย่างวันนี้เข้า ภายหน้านครต้องห้ามคงได้เห็นเรื่องอึกทึกครึกโครมกันล่ะ คิดดูสิ ฮวาอู๋เหินผู้นั้นถูกทำร้าย คนตระกูลฮวาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร”
ความเห็นต่างๆ ดังเซ็งแซ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน
หลายคนรับรู้ได้ว่า เกรงว่าไม่นานนัก ข่าวคราวเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้จะกระจายไปทั่วนครต้องห้าม!
อย่างไรเสียฐานะของฮวาอู๋เหินก็พิเศษนัก!
ส่วนหลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ก็เป็นตัวละครที่น่าจับตามองมากเช่นกัน
ขณะนี้ทั้งสองผูกความแค้นต่อกันแล้ว ภายหลังไม่รู้ว่าจะสร้างความโกลาหลได้กี่มากน้อย
…
ราตรีเริ่มมาเยือน
เกี้ยวสมบัติหลังงามเคลื่อนไปตามถนนพลุกพล่านเต็มไปด้วยแสงสี มุ่งหน้าไปยังหอสรวลทรัพย์อย่างเนิบช้า
ทว่าบนเกี้ยวสมบัติกลับเงียบเชียบ
ครู่หนึ่งหลินเสวี่ยเฟิงก็พูดขึ้นอย่างลังเล “เมื่อครู่นี้…เจ้ามุทะลุไปแล้ว ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า แต่ฐานะของฮวาอู๋เหินผู้นั้นสูงส่งยิ่ง ทำร้ายเขาก็รังแต่หาเภทภัยไม่จบสิ้นมาสู่ตัวเจ้าเอง”
หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะยิ้มขึ้นทันใดแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลหลิน ข้าทนดูเจ้าถูกรังแกกับตาไม่ได้”
คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้หลินเสวี่ยเฟิงสะท้านไปทั้งตัว มองหลินสวินอย่างตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าอ่านยากว่า “ในที่สุดข้าก็มั่นใจได้ว่า เจ้าเหมาะสมครอบครองภูเขาชำระจิตกว่าข้า”
สีหน้าของเขาหม่นลง
เมื่อก่อนเขาถูกปลูกฝังเลี้ยงดูอย่างผู้สืบทอดตระกูลหลินมาโดยตลอด ถูกคนทั้งตระกูลจับตามอง ส่วนตัวเขาเองก็คาดหวังว่าตนจะรวมตระกูลหลินเป็นหนึ่งได้ในสักวัน พาตระกูลหลินกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ฟื้นคืนเกียรติภูมิในวันวาน
แต่ความเป็นจริงกลับไร้ความปรานีเช่นนี้
เพียงเขาประสบกับการเหยียดหยามของฮวาอู๋เหินก็เกือบโยนชีวิตตัวเองทิ้ง สิ่งนี้กระทบจิตใจหลินเสวี่ยเฟิงอย่างหนักโดยไม่ต้องสงสัย
“อย่าท้อแท้หมดกำลังใจไป ข้าเห็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าความสามารถในการต่อสู้ไม่พอ แต่เพราะของวิเศษห่างชั้นกันต่างหาก” หลินสวินเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องมาปลอบข้า ของวิเศษเป็นส่วนหนึ่งในพลังทั้งหมดของผู้ฝึกปราณ สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ข้าไม่หลอกตัวเองหรอก”
หลินเสวี่ยเฟิงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามาก ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า ภายหลังจะทดแทนคืนให้”
หลินสวินยิ้มบางๆ
ที่เขาช่วยหลินเสวี่ยเฟิงไว้นั้น แท้จริงไม่ได้ไตร่ตรองมากนัก แต่เขามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลหลินในอนาคต ไม่สามารถนิ่งดูดายได้
แม้ว่าฐานะของฮวาอู๋เหินจะสูงส่ง แต่กับเรื่องที่ข้องเกี่ยวถึงเกียรติของตระกูลเช่นนี้ หลินสวินไม่ลังเลแต่อย่างใด
ทว่าหลินสวินเพิ่งได้พบว่า หลังจากช่วยชีวิตหลินเสวี่ยเฟิง แม้อาจจะล่วงเกินตระกูลฮวา แต่ได้รับการยอมรับจากหลินเสวี่ยเฟิงกลับมา!
เท่านี้ก็พอแล้ว!
หลินเสวี่ยเฟิงเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ขอเพียงได้รับความเชื่อถือจากเขา ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการควบคุมตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในภายภาคหน้า!
นี่เรียกได้ว่าเภทภัยก็ชักนำโชคดีมาได้
“เจ้าจะไปไหนหรือ” ทันใดนั้นหลินเสวี่ยเฟิงถามขึ้น
“หอสรวลทรัพย์” หลินสวินเปรย “ไปงานเลี้ยงรวมตัวมิตรสหาย ไปด้วยกันสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์