หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ภูเขาชำระจิตก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศคึกคักไปทั่วทุกมุม
ภายในโรงหลอมยามีลูกศิษย์ฝึกหัดเพิ่มมาสามสิบคน ล้วนเป็นคนที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งมา แม้อายุยังน้อยแต่คล่องแคล่ววองไว มีความชำนาญ ทำให้ชื่อเซวี่ยสามารถจดจ่ออยู่กับการหลอมยาและเพาะเลี้ยงโอสถวิญญาณโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจุกจิกอีกต่อไป
อีกทั้งลูกศิษย์เหล่านี้ก็มีพรสวรรค์ เพียงแค่สอนสั่งอย่างเหมาะสม ต่อไปย่อมสามารถกลายเป็นนักหลอมยาที่แท้จริงได้
ที่วิเศษที่สุดคือพวกเขาล้วนแซ่หลิน เป็นคนตระกูลหลินทั้งหมด ยิ่งมีความน่าเชื่อถือในเรื่องความซื่อสัตย์
ส่วนในโรงหลอมอาวุธก็มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยงานหยางหลิงเช่นกัน มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน บางคนมีหน้าที่ไปซื้อวัตถุวิญญาณ บางคนมีหน้าที่คัดเลือกและหลอมวัตถุวิญญาณ ส่วนหยางหลิงมีหน้าที่แค่ออกคำสั่ง และจดจ่ออยู่กับการหลอมอาวุธเมื่อเตรียมการทุกอย่างครบหมดแล้ว
ด้านผู้เฒ่าเตียวได้ใช้ฝีมือสลักวิญญาณระดับยอดเยี่ยมของเขาซ่อมแซมกระบวนรอยสลักวิญญาณที่รกร้างทั้งหมดของภูเขาชำระจิต ก่อนหน้านี้เพราะขาดกำลังคน เขาจึงต้องลงมือด้วยตัวเองตั้งแต่การดำเนินการมาจนถึงการซ่อมแซม
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เรื่องจุกจิกเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้องไป
ทว่าผู้เฒ่าเตียวก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาเป็นนักสลักวิญญาณอยู่แล้ว ดื้อหัวชนฝาเข้าไปช่วยหยางหลิงหลอมอาวุธโดยไม่สนพญาแร้งที่คอยปราม
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ตอนนี้ทุกสองถึงสามวันโรงหลอมยาจะหลอมโอสถวิญญาณออกมาได้จำนวนหนึ่ง นอกจากแจกจ่ายกันเอง ที่เหลือล้วนขายให้อัครการค้า
ในขณะเดียวกันอาวุธวิญญาณที่หลอมออกมาจากโรงหลอมอาวุธก็มีการร่วมมือกับอัครการค้าเช่นกัน หมดห่วงเรื่องช่องทางการขาย
จากบัญชีรายวันที่พญาแร้งรวบรวมมา ตอนนี้เพียงแค่โรงหลอมโอสถและโรงหลอมอาวุธก็สร้างรายได้ให้กับภูเขาชำระจิตมากถึงสามหมื่นเหรียญทองต่อเดือน
ตัวเลขอาจจะไม่เยอะมาก แต่นี่เพิ่งเริ่มต้น หากรักษากำลังการผลิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผลประโยชน์มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือเหตุผลที่พญาแร้งอุตส่าห์เสียแรงดึงชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวมาเป็นพวก
มีพวกเขาอยู่ก็เท่ากับปลูกต้นเงินต้นทองไว้ในภูเขาชำระจิต สามารถรับประกันกำลังทรัพย์อันไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมีเงิน คิดจะรับพลซื้อม้าขยายอำนาจของตัวเองก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
นอกจากนี้โรงเลี้ยงสัตว์ของภูเขาชำระจิตก็กลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง ตอนนี้สัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณที่มาจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างมีคนเลี้ยงสัตว์คอยดูแลและเลี้ยงดูโดยเฉพาะ
ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ในภูเขาชำระจิต หลินสวินไม่มีแม้กระทั่งเกี้ยวสมบัติเป็นของตัวเอง ได้แต่เช่ามาใช้ ดูจนกรอบมาก
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง เพราะมีสัตว์วิญญาณและอสูรวิญญาณพวกนั้น สามารถนำมาควบขี่เป็นยานพาหนะได้ ไม่ว่าจะรับแขกหรือออกเดินทาง ก็ทั้งสะดวกสบายและรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรยังส่งสาวใช้และบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งมาช่วยงานที่ภูเขาชำระจิต เพราะงานจิปาถะอย่างยกน้ำยกชา คอยวิ่งส่งข่าวทำนองนี้ จะอย่างไรก็ไม่สามาถให้หลินสวินหรือหลินจงลงมือทำกันเอง
ตระกูลทรงอำนาจที่ต้องการผงาดขึ้นมา จำเป็นต้องมีผู้มากความสามารถในทุกๆ ด้าน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิดแน่นอน
ภูเขาชำระจิตในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นครึกครื้น ไม่ได้รกร้างเปล่าเปลี่ยวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทุกภาคส่วน
ทั้งหมดนี้ล้วนหนีไม่พ้นการวางแผนจากพญาแร้ง
เรียกได้ว่าหลินสวินมีหน้าที่เพียงแค่ตัดสินใจ ส่วนเรื่องที่เหลือพญาแร้งจะจัดการให้อย่างเสร็จสรรพสมบูรณ์
แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือ ในที่สุดยามนี้ภูเขาชำระจิตก็มีเงินทองขึ้นมาแล้ว เป็นก้าวแรกของการสร้างอำนาจอิทธิพลให้ตัวเอง
ตามแผนของพญาแร้ง นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปหากภูเขาชำระจิตต้องการจะผงาดขึ้นมาจริงๆ ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก
อย่างเช่นประกาศและบังคับใช้กฎใหม่ๆ
หรืออย่างการก่อตั้งกำลังรบอันแข็งแกร่งที่เป็นของตระกูลหลิน!
เพราะหากเกิดความขัดแย้งขึ้นมา จะอย่างไรก็ไม่สามารถให้หลินสวินออกปะทะคนเดียวได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลินคงเหนื่อยเกินไป
สรุปแล้วภูเขาชำระจิตในตอนนี้กำลังกลับมาเฟื่องฟูอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาที่ต้องแก้อีกมาก
มีพญาแร้งคอยดูแลทุกอย่าง หลินสวินจึงไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องพวกนี้
ตอนนี้เขามอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สินให้กับหลินจง มอบหมายงานด้านการจัดการวางแผนต่างๆ ให้พญาแร้ง ตัวหลินสวินเองจึงเบาตัวลงมาก
แต่เขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ในแต่ละวันนอกจากฝึกปราณก็จะพาเจ้าจิ๊บจิ๊บไปเดินเล่นทั่วภูเขาชำระจิต
พอเห็นทุกอย่างในภูเขาชำระจิตขับเคลื่อนไปอย่างมีระบบระเบียบ และมีแนวโน้มจะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ หลินสวินเองก็รู้สึกปลื้มปริ่มมาก
ความรู้สึกนั้นราวกับต้นกล้าที่ตัวเองบ่มเพาะมาอย่างดีเจริญงอกงามในที่สุด ทำให้รู้สึกเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน
……
เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว จนผ่านการประลองกับฮวาอู๋โยวมาหนึ่งเดือนแล้ว
คืนนี้หลินสวินยังคงนั่งขัดสมาธิฝึกปราณเหมือนเคย
เห็นเพียงว่าเขานั่งตัวตรงโดยมีพลังวิญญาณสีม่วงไหลเวียนอยู่รอบตัวราวกับภาพฝัน
บริเวณจุดชี่ไห่ในร่างมีมหาสมุทรวิญญาณโหมคลั่งที่พลุ่งพล่านรุนแรงจนเกิดเสียงครืนโครมปานฟ้าผ่า
มองเห็นรางๆ ว่าบนเวิ้งฟ้าเหนือมหาสมุทรวิญญาณนั้นปรากฏเป็นภาพแปลกประหลาด อาทิตย์จันทร์ประชันแสง หมู่ดาวโอบล้อม อัศจรรย์เกินคาดเดา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์