หลินสวินนั่งเกี้ยวสมบัติไปถึงเมืองชั้นใน จากนั้นสั่งให้จูเหล่าซานกลับไป แล้วถือเทียบเชิญเข้าเมืองชั้นในไปโดยลำพัง
เมืองชั้นในเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ ถ้าไม่มีเทียบเชิญ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ยังยากจะเข้าไปได้
เมื่อเดินเข้าไปราวกับได้หลุดไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มองไปรอบๆ มีสิ่งก่อสร้างโบราณสูงใหญ่ตระหง่านตระการตา ส่องประกายศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
อยู่ในนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อย เหตุผลเพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นใหญ่โตเกินไปและสูงตระหง่านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตำแหน่งของพระราชวังหาง่ายมาก ตั้งอยู่ตรงกลางของเมืองชั้นใน มองไปก็จะเห็นถนนหยกสีขาวที่มีความกว้างหลายสิบจั้งซึ่งนำไปสู่ประตูของพระราชวัง
สองข้างของถนนหยกขาวมีทหารองครักษ์ประจำพระราชวังเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด แต่ละคนใส่เสื้อเกาะ ถืออาวุธอยู่ในชุดพร้อมรบ สีหน้าฉายไอสังหาร องอาจสง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม
ตอนที่หลินสวินไปถึงก็มีแขกมากมายมาถึงแล้วเช่นกัน ล้วนเป็นบุคคลชนชั้นสูง ผู้ฝึกปราณที่สาดประกายความน่าเกรงขามก็ไม่น้อย ทำให้หลินสวินเห็นแล้วลอบตะลึงในใจ
งานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันนี้จะต้องคึกคักมากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเดินเข้าไปคนเดียว เขาเข้ามาในเมืองชั้นในเป็นครั้งแรกจึงมองไปรอบๆ ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสิริมงคล สิ่งก่อสร้างโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่แฝงความน่าเกรงขาม
จักรวรรดิจื่อเย่ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น นครต้องห้ามเจริญรุ่งเรืองขนาดนั้น เมืองชั้นในที่เป็นใจกลางของนครต้องห้าม แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา
ระหว่างทางมีหลายคนจำหลินสวินได้ สายตาที่มองเขาต่างแฝงความแปลกประหลาด ลอบวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้ามไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเรื่องที่เอาชนะฮวาอู๋โยว เรื่องที่ได้รับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ หรือเรื่องที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินีที่เพิ่งผ่านมา ล้วนสร้างความฮือฮาอย่างมากในนครต้องห้าม เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต่างให้ความสนใจ
เพราะฉะนั้นการเดินอยู่ในเมืองชั้นในแล้วมีคนรู้จักจึงเป็นเรื่องปกติ
ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างอันงดงามที่คุ้นเคย ไป๋หลิงซี!
นางเองก็มาคนเดียว สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงกลางหลัง เรือนร่างสูงโปร่งแบบบางดูบริสุทธิ์สะอาดท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามเช้า
เห็นเพียงเบื้องหลังยังดูงดงามโดดเด่น
ที่แท้นางก็มาด้วย
หลินสวินกำลังไตร่ตรองว่าควรเข้าไปทักทายหรือไม่ ถึงอย่างไรตอนเจอกันที่หอสรวลทรัพย์ไป๋หลิงซีก็เคยออกหน้าช่วยเขาหลายครั้ง แม้ไป๋หลิงซีจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่หลินสวินไม่อาจมองข้ามบุญคุณไปได้
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ ไป๋หลิงซีที่อยู่ข้างหน้าชะงักฝีเท้าราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วพลันหันขวับมา ชั่วพริบตานั้นดวงตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นก็มองเห็นหลินสวิน
เห็นได้ชัดว่านางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอหลินสวินที่นี่ จึงอดอึ้งงันไม่ได้แล้วเดินเข้ามาทันที กล่าวว่า “เจ้าก็มาด้วยหรือ”
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “บังเอิญจริง”
“เข้าไปด้วยกันเถอะ”
ไป๋หลิงซีพูดอย่างสบายๆ ก่อนจะเดินเคียงบ่าไปพร้อมกับหลินสวิน
ดวงหน้าของนางงดงาม คิ้วตาดุจภาพวาด เรือนร่างแบบบาง ผิวพรรณขาวกระจ่างราวหยกงาม ท่าทีเรียบเฉยสบายๆ ราวกับเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
แม้ไม่นานมานี้เพิ่งได้เจอกันแล้วรอบหนึ่ง แต่หลินสวินก็ยังคงอดตะลึงในความงามไม่ได้ หญิงสาวที่มีพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ ผู้นี้งดงามสะดุดตายิ่งกว่าเดิม
“เมื่อสองปีที่แล้วตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ข้าเคยคิดว่าคุณภาพบ่อพลังวิญญาณที่ข้ากลั่นเกลาเหนือกว่าเจ้าระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่า บ่อพลังวิญญาณที่เจ้าหล่อหลอมขึ้นมา น่าจะไม่ใช่แค่บ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่งธรรมดาๆ”
จู่ๆ ไป๋หลิงซีก็พูดถึงเรื่องในอดีต
หลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าว “ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน”
ดวงตาคู่กระจ่างของไป๋หลิงซีกวาดมองหลินสวินอย่างคลุมเครือแวบหนึ่ง ค่อยพูดว่า “ต่างสิ อย่างน้อยอาศัยแค่พื้นฐานของบ่อพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง ไม่มีทางทำให้พลังปราณของเจ้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางระยะสมบูรณ์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงสองปีได้แน่”
นางหยุดไปครู่ หว่างคิ้วเผยความสงสัย เอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เจ้าใช้เพียงพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น ก็สามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวที่อยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้”
“ข้ารู้ความสามารถของฮวาอู๋โยว นางถือเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของสาขายุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต พลังการต่อสู้เพียงพอที่จะติดอันดับในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ในสถานการณ์แบบนี้เจ้ายังสามารถเอาชนะนางได้ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐานแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ไป๋หลิงซีก็เชยตาขึ้นจ้องมองเสี้ยวหน้าของหลินสวิน ริมฝีปากแดงก่ำเปิดออกเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ปีนั้นหลังจากชีพจรวิญญาณของเจ้าถูกช่วงชิงไป คุณลักษณะพรสวรรค์ในตัวเจ้าเหมือนจะไม่ได้หายไปด้วย”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว คิดไม่ถึงเลยว่า ไป๋หลิงซีเพียงแค่วิเคราะห์ ก็เกือบจะอ่านความลับสุดยอดในตัวเขาออกแล้ว!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบข้า นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า”
ไป๋หลิงซีละสายตาออก มองไปยังราชวังอันสูงตระหง่านแล้วพูดเสียงเบา “ช่วงก่อนข้าได้รู้เรื่องบางอย่างเข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าภายนอกอาณาเขตจักรวรรดิจื่อเย่า ยังมีอาณาจักรลี้ลับที่กว้างขวางยิ่งกว่า ในนั้นมีสำนักยุทธ์อันเก่าแก่ มีดินแดนอุดมราวกับเป็นที่อยู่ของเหล่าเซียน รวมทั้งมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการฝึกปราณอันยากจะจินตนาการ”
หลินสวินหัวใจสะท้าน นึกถึงเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ที่สังหารบิดามารดาและคนในตระกูลของตน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์