ประจวบเหมาะกับเป็นรุ่งเช้า ในสำนักศึกษาบรรดาศิษย์มากมายทยอยปรากฏร่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่างก็อายุน้อยอยู่ในช่วงวัยกำลังรุ่งโรจน์ เปล่งประกายเบิกบานมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นร่างหลินสวินและเสิ่นทั่วเดินออกมาพร้อมกัน เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีพลันดังขึ้นทันที
“อาจารย์เสี่ยวหลิน!”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน พวกเราจะสนับสนุนท่านไปตลอดกาล!”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน เมื่อไหร่จะสอนพวกเราหลอมชุดศึกสลักวิญญาณล่ะขอรับ”
สีหน้าท่าทางศิษย์เหล่านั้นฉายแววเทิดทูนและตื่นเต้นยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ บ้างก็ใจกล้าและตรงไปตรงมาตามประสาคนรุ่นเยาว์
ศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งถึงขั้นตื่นเต้นจนแก้มแดงระเรื่อแววตาหลงใหล เห็นได้ว่ายามนี้สถานะของหลินสวินในใจศิษย์เหล่านี้พิเศษโดดเด่นเพียงไหน
หากไม่ใช่เพราะเสิ่นทั่วอยู่ด้วย บรรดาศิษย์เหล่านั้นคงจะล้อมกรอบหลินสวินล้อมไปนานแล้ว
“คนหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ”
หลินสวินทอดถอนใจประโยคหนึ่ง
เสิ่นทั่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ คำพูดนี้ควรเป็นข้าที่ทอดถอนใจถึงจะถูก”
หลินสวินยิ้มฟังโดยไม่คัดค้าน
เมื่อเดินผ่านหอหลอมวิญญาณ จู่ๆ หลินสวินก็เห็นร่างที่คุ้นเคย
ฉู่ซานเหอ!
เพียงแต่เขาในเวลานี้มือถือไม้กวาด กำลังปัดกวาดพื้นหน้าหอหลอมวิญญาณเหมือนข้ารับใช้อายุมากคนหนึ่ง
พริบตาที่เหลือบเห็นหลินสวิน สีหน้าฉู่ซานเหอพลันเปลี่ยนไปในทันที นัยน์ตาฉายแววอาฆาต คับแค้นใจ หวาดกลัว หดหู่ ซับซ้อนสับสนเหลือประมาณ
ท้ายที่สุดเขาแค่นเสียงไม่พอใจก่อนหันกลับเข้าไปยังหอหลอมวิญญาณ
“นี่คือบทลงโทษที่เจ้าสำนักให้แก่เขา ถอนตำแหน่งรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ ลดขั้นลงมาเป็นคนงานดูแลหอหลอมวิญญาณร้อยปี”
เสิ่นทั่วอธิบาย
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น “การลงโทษนี้ไม่เบาเกินไปหน่อยหรือขอรับ”
เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ “เจ้าไม่เข้าใจ บุคคลยิ่งใหญ่ที่องอาจผ่าเผยคนหนึ่งจากตระกูลฉู่ ตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่ เป็นถึงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ มีหน้ามีตาระดับไหน แต่มาวันนี้กลับถูกลดขั้นลงเป็นคนงาน สูญเสียอำนาจและเกียรติภูมิทั้งหมดไป รสชาติของการถูกกระแทกตกลงมาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาเช่นนี้ยังแย่กว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก”
หลินสวินคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนัก เท่ากับได้มอบความยุติธรรมให้ตนเองแล้ว เขาไหนเลยจะสามารถไม่พอใจได้
แน่นอนว่า ถ้าหากยึดตามความคิดของหลินสวิน ต่อให้ไม่ฆ่าฉู่ซานเหอ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เขาพิการ ไม่มีโอกาสล้างแค้นตนได้อีก
…
โถงรับรอง
ทันทีที่มาถึงหลินสวินก็มองเห็นจ้าวไท่ไหล เขาเป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับกลับทำตัวเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง แต่งกายหรูหราฟุ้งเฟ้อ รูปร่างอวบอ้วนยิ้มแย้ม ดูน่าสนิทชิดเชื้ออย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงแต่หลินสวินรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่คือตัวแทนแห่งตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เท่านั้น คิดจะดึงข้อมูลออกจากปากเขาเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อสิ้นดี
“โอ้ ในที่สุดปรมาจารย์หลินสวินก็ปรากฏตัวแล้ว ทำให้ข้าผู้แซ่จ้าวรู้สึกตื่นตะลึงที่ได้รับการโปรดปรานยิ่งนัก”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดังเดินเข้ามาต้อนรับ
“ฮ่าๆๆ ได้พบผู้อาวุโสที่นี่ก็ทำให้ข้ายินดีอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน”
หลินสวินเองก็หัวเราะเดินเข้าไปหาราวกับว่าดีใจเป็นอย่างมาก
เสิ่นทั่วหมดคำพูดไปพักหนึ่ง ช่างเป็นคู่หูจอมปลอมเสียจริง
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นจ้าวไท่ไหลหรือหลินสวินต่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจสักนิด กลับกลายเป็นว่าทักทายกันอย่างกระตือรือร้นไม่หยุดหย่อนราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน
นั่นทำให้เสิ่นทั่วตกตะลึงอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง เสแสร้งจอมปลอมถึงขนาดนี้ ไม่ให้นับถือก็คงไม่ได้
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาครานี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงเอ่ยปากถาม
สายตาเขามองไปยังอีกด้านอย่างคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตรงนั้นมีคนวัยหนุ่มสาวอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่ ศีรษะประดับเกี้ยวขนนก เอวคาดเข็มขัดหยกขาว เท้าใส่รองเท้างูเหลือม ริมฝีปากแดงฟันขาว คิ้วกระบี่เนตรดารา มีรูปลักษณ์งามสง่าบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา
เพียงแต่หลินสวินสังเกตเห็นว่า ผิวของคนผู้นี้ก็เกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างเกินไป ประหนึ่งหยกงามไร้ที่ติ ช่วงหางคิ้วแฝงไอวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เลือนราง ช่างพิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก
“อ้อ ก่อนคุยกันถึงเรื่องหลักข้าขอแนะนำสักหน่อย นี่คือหลานคนหนึ่งของข้าชื่อจ้าวเสวียน มาครั้งนี้เพราะต้องการชื่นชมความสง่างามของปรมาจารย์เสี่ยวหลินสักหน่อย”
จ้าวไท่ไหลพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีที่ได้พบสหายร่วมวิถีหลินสวิน”
จ้าวเสวียนยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ยิ้มพลางคารวะ เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบ รอยยิ้มนั้นดูสะอาดบริสุทธิ์ราวธารน้ำใส
ที่พิเศษที่สุดคือเขาเรียกหลินสวินว่า ‘สหายร่วมวิถี’ เห็นชัดว่าเขามองตนเป็นผู้อยู่ในวิถีเดียวกันจึงเรียกขานเช่นนั้น
หลินสวินยิ้มพลางคารวะตอบ ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ คนในอาภรณ์ม่วงเบื้องหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา อากัปกิริยา หรือแม้แต่คำพูดคำจาต่างล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น ประหนึ่งหยกงามบริสุทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติชิ้นหนึ่ง สุภาพอ่อนโยนไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจได้โดยง่าย
หลังจากนั้นเสิ่นทั่วเดินจากไปอย่างรู้ตนดี ปล่อยให้หลินสวินและจ้าวไท่ไหลอยู่ในโถง ด้วยรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากัน
“การมาที่นี่ครานี้ หนึ่งคือมาแสดงความยินดีกับสหายน้อยที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้สำเร็จ ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน โดดเด่นเป็นสง่าบนเส้นทางนักสลักวิญญาณ”
จ้าวไท่ไหลออกปากพูดยิ้มระรื่น “สอง ก็คือได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น เป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุผลอย่างหนึ่ง”
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่กีดกันคนในอาภรณ์ม่วงนั้นออกไป เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะถูกฝ่ายหลังได้ยินเรื่องลับส่วนตัว
หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวทันที “นี่ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็มีเรื่องรบกวนผู้อาวุโสอยู่พอดี”
จ้าวไท่ไหลมุมปากกระตุกยกขึ้นอย่างยากจะสังเกตเห็น หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นมิสู้สหายน้อยพูดก่อนเป็นอย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์