หลินสวินและหลินจงโดยสารอยู่บนเกี้ยวสมบัติที่เคลื่อนไปตามถนนราวใยแมงมุมอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ระหว่างทางได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงต่อสู้ราวอัสนีบาตไหวสะเทือนดังขึ้นเป็นครั้งคราว
แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งก็เงียบหายไป ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในเกี้ยวสมบัติ หลินสวินสีหน้าผ่อนคลาย ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าศัตรูที่ซุ่มอยู่ตามถนนต้องมาจากหนึ่งในพวกตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินแน่
หรืออาจเป็นขุมอำนาจทั้งสามตระกูลร่วมมือกันก็เป็นได้
ที่พวกเขามาซุ่มตรงนั้นล่วงหน้าก็เดาได้อย่างง่ายดาย เพราะใครก็รู้ว่าวันนี้หลินสวินจะจัดงานแถลงที่อัครการค้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงซุ่มระหว่างทางไม่ช้าก็เร็วหลินสวินต้องปรากฏตัวจนได้
เพียงแต่หลินสวินก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงกับระงับความโมโหไว้ไม่อยู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากรับรู้ได้ว่าตนมีแนวโน้มก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งนัก ก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ไม่อาจยอมทนให้ตนเติบใหญ่ได้อีกแล้ว
“ยังดี ครั้งนี้อัครการค้าตระเตรียมกำลังคนมากมาย หาไม่แล้วระหว่างทางนี้อาจต้องรับศึกหนักที่ไม่อาจคาดการณ์ได้…”
หลินสวินแง้มม่านของเกี้ยวสมบัติ สายตาทอดไปไกลและเห็นบุปผาโลหิตดอกหนึ่งเบ่งบานในห้วงอากาศที่ไกลสุดสายตา สีแดงสดงดงามน่าหวั่นใจ
หลินจงเตือนอยู่ข้างๆ ว่า “นายน้อย จะชะล่าใจไม่ได้นะขอรับ ในเมื่อพวกเขากล้าลงมือ ต้องเตรียมตัวมาอย่างสมบูรณ์แน่”
หลินสวินส่งเสียงอืมแล้วกล่าวว่า “ลุงจง ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของจักรวรรดินี้ เคยมีเรื่องตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงถูกทำลายเกิดขึ้นหรือไม่”
หลินจงส่ายหัว “แทบจะไม่มีขอรับ”
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อน “นายน้อย ท่านอย่าลืมสิขอรับว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกูลหลินของพวกเราก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่ตอนนี้…”
หลินสวินอึ้งไป ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เกี้ยวสมบัติเดินหน้าไปตามทาง ตลอดทางราบเรียบเงียบสงบ แต่หลินสวินกับหลินจงรู้ดีว่าในที่ที่ตนมองไม่เห็นกำลังเกิดการต่อสู้นองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
เอี๊ยด!
ทันใดนั้นเกี้ยวสมบัติพลันหยุดลง ล้อเกี้ยวเสียดสีกับพื้นดินเข้าอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงชวนเสียวฟัน แทบจะในเวลาเดียวกันชายสูงวัยที่ขับเกี้ยวก็ตะโกนเสียงทุ้มว่า “ทั้งสองท่านระวังตัวขอรับ!”
ตูม!
แรงน่าหวาดหวั่นซัดเข้ามา เกิดเป็นพลังทำลายล้าง เกี้ยวสมบัติถูกบีบอัดจนจะแตกออกเหมือนอยู่กลางพายุในทันใด
หลินสวินกับหลินจงพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลสักนิด
ในขณะเดียวกัน เกี้ยวสมบัติที่ปกคลุมไปด้วยรอยสลักวิญญาณหนาแน่นระเบิดสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปลิวกระจายอย่างครึกโครม
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เกี้ยวสมบัตินี้เป็นสิ่งที่เทพเศรษฐีจัดการด้วยตัวเอง สามารถรับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ แต่ตอนนี้กลับพังทลายอย่างง่ายดาย แค่คิดก็รู้ว่าศัตรูที่มาโจมตีต้องมีพลังระดับกระบวนแปรจุติ!
อย่างที่คาด การต่อสู้ดุเดือดกำลังเกิดขึ้นไกลออกไป ชายสูงวัยที่ขับเกี้ยวประจัญบานกับเงาร่างในชุดสีดำร่างหนึ่งอยู่
นี่ถือเป็นการประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติครั้งหนึ่ง ทักษะและวิชาลับที่ใช้เหนี่ยวนำพลังมหามรรคแห่งฟ้าดิน น่ากลัวเหลือคณา
สิ่งนี่ทำให้หลินสวินรู้สึกสังหรณ์ใจ รับรู้ได้ว่าต่อให้อัครการค้าตระเตรียมกำลังคนอย่างรัดกุมมากแล้ว แต่เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าศัตรูจะใช้กำลังคนที่น่ากลัวเช่นนี้เพื่อมาสังหารตน
ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ!
ในหมู่ขุมอำนาจชั้นสูงล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับเสาเทพค้ำทะเล จะไม่เคลื่อนไหวโดยง่าย
สวบ!
ทันใดนั้นคมกระบี่สว่างจ้าแสบตาก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับไว พุ่งโจมตีผ่านห้วงอากาศเข้ามา
ชั่วพริบตานั้นกลิ่นอายอันตรายน่าหวาดหวั่นที่ยากบรรยายบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้ทั้งตัวหลินสวินเจ็บแปลบขึ้นมา นัยน์ตาหดรัด
ผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่ง!
ศัตรูที่มาจู่โจมครั้งนี้ไม่ได้มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเพียงคนเดียว!
“หาที่ตาย!”
หลินจงตะคอกเสียงดัง พุ่งทะลุเมฆขึ้นไป อาสัญสลายปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังชิ้ง พลังสีเทาขมุกขมัวไหลเอ่อออกมา ปกคลุมทั่วร่างหลินจง
เปรี้ยง!
การต่อสู้ปะทุขึ้น และเวลานี้หลินสวินก็ดูออกทั้งหมดแล้วว่า นายของคมกระบี่สว่างจ้านั้นก็เป็นผู้ฝึกปราณที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดดำ ดูรูปลักษณ์ไม่ออกเช่นกัน
นี่เป็นถึงนครต้องห้าม เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ แม้จะพูดว่าแถบนี้เป็นชานเมืองเงียบเหงายิ่งนัก แต่อย่างไรเสียก็อยู่ในขอบเขตของนครต้องห้าม
แต่ศัตรูกลับกล้าซุ่มกำลังพลระหว่างทาง ถึงขั้นใช้ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ นี่พิสูจน์ได้ว่าเพื่อสังหารหลินสวิน พวกเขาไม่เสียดายค่าตอบแทนทั้งสิ้นแล้ว!
‘หากมีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติมาอีกคน วันนี้คงยุ่งยากเสียแล้ว…’
หลินสวินยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสีหน้าขึงขัง
ราวกับจะทำให้การคาดเดาของหลินสวินเป็นเรื่องจริง ทายเรื่องไม่ดีเช่นนี้ถูกเข้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มเพียงรู้สึกว่าภาพข้างหน้าพร่ามัว ลำแสงสี่สายตกลงมาจากฟ้า!
ชั่วพริบตาทัศนวิสัยของเขาก็แปรผันไป กลายเป็นมาอยู่ในภาพมายาสีขาวโพลนไร้ขอบเขต เสาหินสี่ต้นพุ่งสู่ฟ้า ตระหง่านขึ้นสี่ทิศบนพื้นดินสุดขอบ
บนเสาหินนั้นประทับด้วยภาพโบราณซับซ้อน แผ่พลังต้องห้ามที่น่าหวาดกลัวออกมา
สวบ!
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งลองฝ่าออกไป แต่ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวหายตัวอย่างไรกลับไม่มีทางหลุดออกจากการผนึกของเสาหินสี่ต้นนั้นได้!
พูดอีกอย่างก็คือ ภาพมายานี้ก็เหมือนคุกที่ขังหลินสวินไว้ภายใน
“เวลามีค่า ไอ้หนู พวกเราก็ควรมาคุยกันได้แล้ว”
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งที่ปกปิดตัวด้วยชุดคลุมสีดำก็ปรากฏขึ้น ทั่วกายพลุ่งพล่านไปด้วยแสงสีดำ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน
อย่างที่คิด เป็นผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่ง!
หลินสวินรู้สึกหนักใจ รับรู้ได้ว่าอันตรายถึงแก่ชีวิตที่แท้จริงมาแล้ว
“อย่าคิดว่าจะโชคดีหลุดพ้นไปได้อีก ถูกกักขังอยู่ใน ‘เสามังกรจตุลักษณ์’ นี้ ภายในชั่วหนึ่งถ้วยชา ต่อให้ราชันระดับสังสารวัฏมา ก็ไม่อาจทำอะไรได้”
ชายชุดดำเสียงแก่ชรา มีน้ำเสียงโหดเหี้ยมเย็นชา
“เจ้าต้องการพูดคุยเรื่องอะไร”
ขณะนี้หลินสวินกลับใจเย็นนัก มองออกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หมายจะลงมือกับตนตั้งแต่แรก
“ง่ายมาก ปล่อยพลังจิตวิญญาณเสีย ให้ข้าควบคุมจิตวิญญาณของเจ้าชั้นหนึ่ง ข้าไม่เพียงรับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไป ทั้งยังมีชีวิตต่อไปอย่างดีด้วย”
ชายชุดดำมือไพล่หลัง เงาร่างของเขาสูงใหญ่ แผ่นหลังตรงแน่ว แสงสีดำน่าหวาดหวั่นพันพัวอยู่รอบกาย ราวกับเป็นราชันที่เดินออกมาจากนรก น่าอกสั่นขวัญแขวน
“เจ้าคิดจะควบคุมข้าหรือ” หลินสวินนิ่วหน้า
“นี่เป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า หาไม่ เจ้าคิดว่าข้าจะเลือกมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเจ้าตอนนี้ ไม่ใช่ฆ่าเจ้าทันทีหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์