นครต้องห้ามประตูเมืองตะวันออก ขบวนแปลกประหลาดขบวนหนึ่งหลั่งไหลมา ผู้ชายสวมหนังสัตว์เก่าคร่ำคร่า ผู้หญิงสวมผ้าป่านเนื้อหยาบ เด็กน้อยส่วนหนึ่งเปลือยก้นว่างเปล่าเปลือยเท้าวิ่งไปทั่ว มากมายยิ่งใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อยคน
ทหารยามของจักรวรรดิที่เฝ้าประตูเมืองต่างมึนงงอยู่บ้าง นี่มันคนบ้านนอกจากที่ไหนกัน เสื้อผ้าก็ช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจะต้องออกมาจากชนบทเล็กๆ ห่างไกลความเจริญอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น! เข้าแถว ทำการตรวจสอบ!”
ทหารยามนายหนึ่งตะโกนลั่น คนเหล่านี้ผิดปกติเกินไปแล้ว ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ จะให้คนมั่วซั่วเข้ามาได้อย่างไร?
เพี๊ยะ!
เพิ่งพูดจบ ทหารยามนายนี้ก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดเข้าไปเต็มๆ เล่นเอาเขาสับสนมึนงง หัวสมองเบลอไปหมด
ที่ทำให้เขาตกตะลึงนิ่งอึ้งที่สุดคือ คนที่ตบเขานั้นก็คือหัวหน้าทหารยาม!
“ใต้เท้า เหตุใดท่าน…” ทหารยามถามเสียงสั่นเครือ
กลับเห็นหัวหน้าทหารยามไม่สนใจเขาเพียงนิด รีบเร่งเดินไปยังขบวนแปลกประหลาดกลุ่มนั้นราวกับไฟลนก้น ใบหน้าที่อดีตเคยเคร่งขรึมเย่อหยิ่ง เวลานี้กลับเผยรอยยิ้มอบอุ่นนอบน้อมหาใดเปรียบ
ทหารยามตะลึงงันอยู่ตรงนั้นทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน นั่นไม่ใช่คนบ้านนอกที่เหมือนกับขอทานกลุ่มหนึ่งหรอกรึ ควรค่าต่อการทำเช่นนี้หรือ
เห็นหัวหน้าทหารยามและหนุ่มน้อยคนหนึ่งพูดเสียงเบาคุยอะไรกันสักอย่าง และยิ้มหน้าบานโค้งตัวลง พยักหน้าโก้งค้อมเอวหลีกทางให้ชาวบ้านเหล่านั้น ไม่แม้แต่ทำการตรวจสอบอย่างที่เคยเพียงนิดก็ปล่อยไปทั้งอย่างนั้น!
จนกระทั่งขบวนแปลกประหลาดขบวนนั้นจากไป หัวหน้าทหารยามยังคงโค้งตัวอยู่เหมือนเดิม โบกมือบอกลาอย่างกระตือรือร้นหาใดเปรียบ
ท่าทางเช่นนั้นดูเอาใจใส่กระตือรือร้นยิ่งกว่าส่งญาติพี่น้องตนเองเสียอีก ทหารยามที่เมื่อครู่ถูกตบไปทีหนึ่งลูกตาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ปีนั้นตอนที่หัวหน้ารับแม่ของเขาเข้ามายังนครต้องห้าม ยังไม่นอบน้อมกระตือรือร้นขนาดนี้ด้วยซ้ำ!
เวลานี้เองหัวหน้าทหารยามปาดเหงื่อเดินกลับมา เมื่อเห็นทหารยามนั่น ขาข้างหนึ่งพลันเตะออกมาทันทีก่อนด่าว่า “เจ้าเด็กเวรนี่ แต่ก่อนฉลาดเป็นกรด ทำไมวันนี้ตาบอดซะได้!? เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อกี้เกือบทำข้าตายไปด้วยแล้ว!”
ทหารยามถูกถีบลงกับพื้น กลับไม่สนใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กล่าวว่า “หัวหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หัวหน้าทหารยามตอบอย่างเดือดดาล “เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูไม่ออกหรือว่านั่นคือหลินสวิน แม้แต่หลิงเทียนโหวยังเคยถูกเขาถล่มมาแล้ว คนแบบนี้ใช่คนที่เจ้ากับข้าหาเรื่องได้รึ”
ทหารยามชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบสนองขึ้นมาทันควัน ร้องออกมา “เขา… เขาคือคนที่… คนที่…” ถูกทำให้ตกตะลึงซะจนพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
“ใช่ ก็เขานั่นแหละ! เจ้าหมอนี่ตอนนี้ยิ่งใหญ่นัก ในนครต้องห้ามนี่เกรงว่าคงมีน้อยคนที่กล้าหาเรื่องเขา…”
หัวหน้าทหารยามทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง
แต่ทหารยามนั่นกลับตะลึงงันอยู่ตรงนั้น บุคคลระดับนี้เหตุใดจึงพาคนบ้านนอกกลุ่มหนึ่งเข้าเมือง
หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะหัวหน้าออกหน้าให้ ตนไม่ใช่ว่าขัดใจนายน้อยผู้โดดเด่นเป็นสง่าในนครต้องห้ามและมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วคนนี้ไปแล้วหรอกรึ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทหารยามก็สั่นสะท้านไปทั่วร่าง นึกกลัวไม่หยุด
…
ขบวนนั้นย่อมต้องเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่กลับมาพร้อมหลินสวิน
ระหว่างทางที่โดยสารเรือรบอินทรีเหินกลับมา เหล่าผู้ฝึกปราณอย่างพวกมู่หวั่นซูที่มาจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกงเหล่านี้ต่างทยอยแยกย้ายกันไป
หลังจากส่งหลินสวินและชาวบ้านเหล่านี้กลับมายังนครต้องห้าม เรือรบอินทรีเหินที่เป็นของกองทัพเลือดเหล็กก็กลับไป
เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นกับชาวบ้านเหล่านี้ หลินสวินจึงคิดจะพาพวกเขาไปพำนักบนภูเขาชำระจิต ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็ใหญ่เพียงพอ สามารถมอบแดนสุขาวดีผืนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างอุ่นใจได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ใต้เท้าที่เฝ้าประตูเมืองคนนั้นดูเหมือนจะกลัวพี่หลินสวินมากเลยนะ”
อิงหลิวเอ๋อร์กล่าว
สามปีผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กแก่นที่ปีนั้นเคยได้รับการชี้แนะวิชายุทธ์จากหลินสวินก็เติบโตเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลแดง ฟันขาวดุจหิมะ ดวงตาหมุนวนไหลเคลื่อนไปมา ฉลาดปราดเปรียวอย่างเห็นได้ชัด
อิงหาวเกาหัวน้อยๆ กล่าวคลุมเครือ “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” จากนั้นเขาก็ถลึงตา “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย อย่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงของจักรวรรดิ ข้าอยู่มาชั่วชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามา เจ้าลูกชายอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้พี่หลินสวินของเจ้าเชียว!”
ไม่เพียงแต่อิงหาวเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ชาวบ้านคนอื่นต่างก็คิดแบบเดียวกัน ตั้งแต่เข้ามายังนครต้องห้าม มองเห็นความเจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ ทัศนียภาพที่หลายหลากแปลกตาทั้งหมดนั่น พวกเขาต่างถูกทำให้ตกตะลึง ไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกราวกับก้าวเข้าสู่อาณาจักรเซียนในตำนาน
ตลอดชีวิตพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในหมู่เขาสามพันคีรีที่ห่างไกล ไม่ต้องพูดถึงการเข้านครต้องห้ามเลย แทบไม่มีโอกาสเข้าเมืองตงหลินที่อยู่ชายแดนจักรวรรดิด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้หลินสวินพาพวกเขาเข้าสู่นครต้องห้ามโดยตรง ทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล ตลอดทางรู้สึกว่ามีดวงตาไม่เพียงพอ
เดิมทีหลินสวินคิดจะว่าจ้างเกี้ยวสมบัติส่วนหนึ่งบรรทุกพวกเขาไปยังภูเขาชำระจิต แต่ข้อเสนอนี้กลับถูกหัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่นปฏิเสธ
ตามที่เขากล่าว ชีวิตนี้พวกเขาเข้ามายังนครหลวงแห่งจักรวรรดิเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าอยากอาศัยโอกาสนี้มองดูความรุ่งเรือง เจิดจรัส เจริญเฟื่องฟูนี้ทั้งหมดด้วยตาตนเองทีละก้าวเป็นธรรมดา
หลินสวินเข้าใจจิตใจของพวกเขาดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ปฏิเสธ และพาพวกเขาเดินมาตามช่วงถนนอันเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้
เพียงแต่ตลอดทางกลับทำให้หลินสวินคิ้วขมวดอยู่บ้าง เพราะพวกเขาขบวนนี้ช่างแปลกประหลาดเกินไป การแต่งกาย ลักษณะท่าทาง และรูปร่างหน้าตาของเหล่าชาวบ้านนั้น ได้รับเสียงเหน็บแนมเย้ยหยันไม่น้อย ยิ่งนำมาซึ่งความรังเกียจและท่าทางขับไล่ไสส่งมากมาย
นี่ทำให้ความดีใจและตื่นเต้นภายในใจของชาวบ้านเหล่านั้นหดหายลงไปไม่น้อย เปลี่ยนเป็นเงียบสงบ พวกเขาไม่ได้โง่ สามารถรับรู้ถึงความรังเกียจและกีดกันที่อบอวลไปตลอดทางเป็นธรรมดา
“หลินสวิน พวกเรา… ทำให้เจ้าเสียหน้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเรารีบไปยังภูเขาชำระจิตนั่นที่เจ้าบอกเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์