เขาโมโหมากจริงๆ เดิมทีถูกหลินสวินใช้แสงมรรคทองนิลกาฬฟาดก็ทำให้ตนคับข้องใจมากจนต้องก้มหัวให้
จะคิดได้อย่างไรว่าต่อให้เขาพูดทุกอย่างโดยดี เด็กหนุ่มก็ยังไม่คิดจะปล่อยตนไป นี่ทำให้เขาทนไม่ไหวในทันที
“ปล่อยเจ้าไปตอนนี้ เกิดเจ้าแพร่งพรายเรื่องเจดีย์สมบัติของข้าจะทำอย่างไร”
ไม่ทันที่จินตู๋อีเอ่ยปาก หลินสวินก็พูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไม่ได้ต้องการออกจากสุสานสมุทรฝังมรรคหรอกหรือ รอเมื่อข้าออกไปก็จะพาเจ้าไปด้วย ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าแล้ว”
“เจ้าคนหน้าด้าน!” จินตู๋อีร้องเสียงดังอย่างไม่พอใจถึงที่สุด
“อย่าเพิ่งด่าสิ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าอยากจะติดอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตหรือ” หลินสวินยิ้มถาม
“หน้าด้าน! ใจดำ! ข้าดันเชื่อคำพูดเฮงซวยของเจ้าเมื่อครู่ ช่างหลอกข้าได้!” จินตู๋อียังด่าทอไม่หยุดหย่อนเหมือนเดิม
หลินสวินไม่โมโห สายตากวาดไปยังท่อนล่างของจินตู๋อี พลันพูดขึ้นว่า “เจ้าคางคก ขาที่สามของเจ้าล่ะ คงไม่ได้…ซ่อนอยู่ตรงนั้นกระมัง”
สายตาของเขามองไปยังเป้าของจินตู๋อี สีหน้าล้อเลียนร้ายกาจ
ใบหน้าหล่อเหล่าของจินตู๋อีแดงซ่านอย่างหาใดเทียบ มือทั้งสองข้างกุมเป้าไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย คลุ้มคลั่งหาใดเทียบ
เขากัดฟันกรอด คำรามเสียงดังราวฟ้าผ่า “เจ้าๆๆ…สารเลว! วิปลาส! ไร้ยางอาย! หากข้าออกไปได้ จะแล่เนื้อเจ้าให้หมากิน!”
หลินสวินหัวเราะร่าพูดว่า “เจ้าคางคก รู้จักเวล่ำเวลาถึงจะเป็นยอดบุรุษ เจ้าก็สงบใจลงตรงนี้เสียหน่อย รอคิดได้เมื่อไรพวกเราค่อยมาคุยกันดีๆ”
หลินสวินพูดจบก็ไม่สนใจว่าจินตู๋อีจะว่าร้ายอย่างไร เก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษรลงไปทั้งอย่างนั้น
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ภายหลังหากไม่ใช่ยามจำเป็น จะไม่เปิดเผยสมบัติลับนี้เด็ดขาด!
ดาบหักยังดี ขอเพียงไม่ปรากฏลายมรรคลึกลับเหล่านั้น ก็เป็นเพียงดาบหักร้ายกาจน่าตื่นตายิ่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางดึงดูดความสนใจมากมายนัก
แต่เจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้ไม่เหมือนกัน ทั้งเรือนหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค เกิดถูกเห็นเข้าต้องชักนำเภทภัยที่ไม่อาจคาดคะเนได้แน่
ฮูม!
ในห้องปรากฏลูกไฟส่องสว่างเจิดจ้าไหลหลั่งไปด้วยท่วงทำนองมรรคสิบกว่าลูก
นี่เป็นเศษเสี้ยวเจตจำนง มีทั้งหมดสิบสองชิ้น เป็นสิ่งที่ขู่เข็ญช่วงชิงกลับมาจากปากของจินตู๋อี
ในเศษเสี้ยวเจตจำนงทุกชิ้นล้วนบรรจุประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลไว้ แม้คลุมเครือและไม่สมบูรณ์ แต่มูลค่าเหลือคณา ไม่มีทางหาได้ในโลกภายนอก!
เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอย่างเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียน ต่างได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมาเพียงสองสามชิ้นเท่านั้น
พูดได้ว่า หากถกกันว่าในการต่อสู้กับวิญญาณอาฆาตครั้งนี้ใครได้ของไปมากที่สุด นอกจากผู้เฒ่าเกาหยางแล้ว ย่อมเป็นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฟู่!
หลินสวินพ่นลมหายใจออกยาวๆ สลัดความคิดวุ่นวายในสมอง แล้วนำเศษเสี้ยวเจตจำนงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นำที่เหลือทั้งหมดผนึกและเก็บไว้
ต่อมาเขานั่งขัดสมาธิ แผ่จิตรับรู้ นำเศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นนั้นม้วนเข้าไปในห้วงนิมิต เริ่มสงบใจหยั่งรู้
เศษเสี้ยวเจตจำนงที่ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาทว่าไม่หายไป แม้คลุมเครือไม่สมบูรณ์ แต่ภายในกลับมีการหยั่งถึงและประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่ง!
ขอเพียงหยั่งรู้และทำความเข้าใจมัน ไม่แน่ว่าอาจมองทะลุได้ถึงหนทางฝึกปราณของยุคบรรพกาลได้ ต้องเกื้อหนุนการฝึกปราณในภายหลังแน่
……
ทะเลกลืนวิญญาณเงียบสงัด ไอหมอกขมุกขมัวอบอวลไปตามทาง บรรยากาศประหลาดน่าหวาดหวั่น
ห้องของซูซิงเฟิง บนยานสำเภา
“ศิษย์พี่ซู คิดว่าท่านก็ต้องดูออกว่าผู้ติดตามข้างกายศิษย์พี่จ้าวนั่นไม่ธรรมดา”
เหวินเสียงในชุดหลากสีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์นุ่มนิ่มน่าฟัง เหมือนเด็กน้อยที่ร่าเริงน่ารักคนหนึ่ง แต่ดวงตาเวลานี้กลับดูลุ่มลึก
“เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากพูดเรื่องนี้หรือ”
ซูซิงเฟิงในชุดแดงทั้งตัวนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแทบเรียกได้ว่าสวยงดงามเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เหอะๆ ศิษย์พี่ซู พวกเราไม่ต้องมาปิดบังกันหรอก บนยานสำเภาลำนี้ใครไม่รู้บ้างว่าท่าน ‘ตั้งแง่’ กับหลินเสวียนผู้นั้นอยู่”
เหวินเสียงหัวเราะเอื่อยแล้วพูดว่า “ท่านอย่าพูดเชียวว่าเพียงเพราะเล่นงานผู้ติดตามของท่าน ถึงทำให้ท่านเกลียดเจ้าคนนี้”
ซูซิงเฟิงนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า “แล้วเจ้าว่าข้าทำเพราะอะไร”
เหวินเสียงสีหน้าเคร่งเครียดสื่อจิตว่า ‘ศิษย์พี่ซู มาถึงตอนนี้แล้วจะต้องปกปิดทำไม ว่ากันตามจริงข้าก็สนใจสมบัติในมือเจ้าเด็กนั่นเหมือนกับท่าน!’
เหวินเสียงยิ้มบางๆ ‘หากข้าเดาไม่ผิด เจดีย์สมบัติในมือหลินเสวียนผู้นั้นไม่ธรรมดา น่าจะหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค ตัวเรือนราวกระจก สำแดงสีทองเจิดจ้า กลิ่นอายพิเศษเช่นนั้นทำของปลอมไม่ได้แน่!’
ประกายในตาซูซิงเฟิงไหวเคลื่อน จมอยู่ในความเงียบงัน
เหวินเสียงเอ่ยต่อว่า ‘เหล็กเทพศุภโชคเชียวนะ สมบัติล้ำค่าหายากชั้นนี้ แม้อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณก็ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนน้ำลายหก ก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตไม่อาจคาดได้ ใครจะไปคิดว่าในมือข้ารับใช้จากโลกชั้นล่างคนหนึ่งจะมีสมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้ ช่างน่าอัศจรรย์ไปแล้ว’
เวลานี้ในที่สุดซูซิงเฟิงก็ไม่ปิดปากเงียบอีกต่อไป ดางตากวาดมองไปยังเหวินเสียงแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้า…คิดจะลงมือกับเจ้าเด็กนั่นหรือ’
เหวินเสียงหัวเราะคิกคักกล่าวว่า ‘ข้าต้องอยากทำแน่ เพียงแต่กังวลว่าศิษย์พี่ซูจะไม่ตกลง’
‘หึ!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์