แน่นอน ใครเลยจะคาดคิด ตอนที่ยังไม่ทันย่างเข้าสู่ตำหนักเก่าแก่นั้น ถึงขนาดที่ยังไม่สามารถตัดสินได้ด้วยซ้ำว่าวาสนาที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในเป็นของสิ่งใดกันแน่ ระหว่างหลินสวินและผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณพวกนั้นก็เปิดศึกขัดแย้งนองเลือดอันดุเดือดฉากหนึ่งขึ้นมา
นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไป
ทว่าสำหรับหลินสวินแล้ว ทุกอย่างนี้มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าอย่างเห็นได้ชัด!
เคราะห์ดีที่แผนสังหารครั้งนี้ล้มเหลวไป กงหยางอวี่ตาย ซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อต่างเผ่นหนีอุตลุด
เพียงแต่ตอนที่มองเห็นเซียวหรันเดินออกมาจากตำหนักโบราณเก่าแก่แห่งนั้นเพียงลำพัง ในใจของหลินสวินกลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว
ทันใดนั้นเขาพลันตระหนักได้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่ ถึงแม้เซียวหรันจะไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ใครจะกล้ารับประกันว่าเซียวหรันไม่รู้เห็นเรื่องทุกอย่างนี้เลย
แต่ไหนแต่ไรมาหลินสวินไม่เคยประเมินเซียวหรันต่ำเกินไป ตรงกันข้าม ในบรรดาผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ คนที่ทำให้เขาไม่อาจประเมินได้มากที่สุดก็คือเซียวหรัน!
“ก่อนหน้านี้เจ้าปราบผู้กล้าแต่ละเผ่าด้วยตัวคนเดียว ส่วนตอนนี้ยังสามารถใช้พลังของตัวเองกำชัยเหนือพวกศิษย์น้องกงหยางอวี่ได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจไม่ยอมรับ เจ้าเป็นบุคคลที่หาตัวจับยากคนหนึ่งจริงๆ”
เซียวหรันสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเนิบนาบ สายตาสงบนิ่งมองมาที่หลินสวิน ในน้ำเสียงเจือความชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง
ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องที่หลินสวินเอาชนะพวกซูซิงเฟิงเลยแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเยือกเย็นและสบายอารมณ์เกินไป
นี่ทำให้หลินสวินมุ่นคิ้ว กล่าวว่า “ทุกอย่างนี้เจ้าน่าจะรู้ตั้งแต่ต้นกระมัง”
เซียวหรันพยักหน้าเอ่ย “พูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง ปฏิบัติการครั้งนี้เดิมทีข้าเองก็อยากลงมือเหมือนกัน แต่ว่าท้ายที่สุดข้าก็ยังไม่คิดจะไปมีเอี่ยวด้วยอยู่ดี”
“เพราะอะไร” หลินสวินถาม
เซียวหรันยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ง่ายมาก เจ้าก็น่าจะเดาออกอยู่แล้ว วาสนาในตำหนักใหญ่แห่งนี้มีแค่อย่างเดียว ข้าไม่อยากเสียมันไป แล้วก็ไม่อยากแข่งขันต่อสู้กันกับศิษย์น้องคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นจึงได้แต่คิดวิธีหนึ่งขึ้นมา ทิ้งพวกเจ้าไว้ด้านนอกทั้งหมด”
รอยยิ้มของเขาเยือกเย็นและอ่อนโยนยิ่งนัก น้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับทำให้หลินสวินสะท้านใจ
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ปฏิบัติการลอบสังหารซึ่งพุ่งเป้ามาที่ตนครานี้ ที่แท้ก็เป็นเพียงแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของเซียวหรัน!
ทั้งได้ลอบสังหารตน แล้วยังทำให้พวกซูซิงเฟิงไม่อาจแบ่งร่างเข้าไปในตำหนักใหญ่ แย่งชิงวาสนากับเซียวหรันได้!
แล้วพวกซูซิงเฟิงเล่า
รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็ถูกเซียวหรันวางอุบายเข้าให้แล้ว
“แผนการลุ่มลึกนัก! ช่างเป็นวิธีโหดเหี้ยมยิ่ง! เพื่อวาสนาชิ้นหนึ่ง เพียงกลเม็ดต้อนพยัคฆ์เขมือบหมาป่า[1] ก็จัดการทุกคนได้หมด หากว่าคนอย่างเจ้าเติบใหญ่ขึ้นไป จะต้องเป็นบุคคลผู้เกรียงไกรคนหนึ่งเป็นแน่!”
เจ้าคางคกที่อยู่ในระยะไกลส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
เซียวหรันกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าเพียงแต่ไม่อยากเข่นฆ่ากับพวกศิษย์น้องร่วมสำนักก็เท่านั้น ลองใช้กลเม็ดเล็กน้อย ทำให้พวกเจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
“เจ้าทำอะไรกับแม่นางจ้าว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ
“วางใจเถิด ในเมื่อข้าทนเห็นศิษย์ร่วมสำนักต้องเข่นฆ่ากันเองไม่ได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือกับศิษย์น้องจ้าว ตอนนี้นางกำลังพักผ่อนอยู่ในตำหนักใหญ่ ไม่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไรหรอก”
เซียวหรันพูดอย่างสบายใจประหนึ่งกำลังพูดเรื่องชีวิตประจำวัน เมื่อมีคำถามก็ตอบ ทั้งยังไม่เอ่ยถึงสิ่งอื่น ลำพังแค่ความเยือกเย็นวางเฉยเช่นนี้ ก็เหนือธรรมดาไร้ที่เปรียบเทียบแล้ว
“เจ้าคางคกเจ้าไปดูหน่อย”
หลินสวินส่งสายตาคราหนึ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจโดยปริยาย เร่งรุดพุ่งเข้าไปในตำหนักใหญ่เก่าแก่นั้นทันที
“กล่าวเช่นนี้ เจ้าได้รับวาสนาในตำหนักใหญ่นั่นแล้ว?”
สายตาของหลินสวินจับจ้องเซียวหรัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยผ่อนคลายแม้แต่น้อย คู่ต่อสู้คนนี้เก็บงำความสามารถ ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ถึงยิ่งทำให้ผู้คนกริ่งเกรง
“ไม่ผิด”
เซียวหรันพยักหน้าน้อยๆ มิได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ
“ดังนั้นตอนนี้ที่เจ้าปรากฏตัว เพราะอยากประลองกับข้าสักครั้งหรือ”
หลินสวินกระชับดาบหักแน่นขึ้นอย่างเงียบๆ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เซียวหรันกลับส่ายหน้า จดจ้องหลินสวินอยู่เป็นนานค่อยถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “พูดตามตรง เวลานี้ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะฆ่าเจ้าได้ เจ้าแข็งแกร่งมาก บนกายมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงอันตราย ไม่ธรรมดายิ่งนัก”
เขากล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ เอ่ยพูดเนิบนาบ เห็นได้ชัดว่าจริงจังอย่างยิ่ง “ศึกแห่งมหามรรค มีคู่ต่อสู้อย่างแท้จริงจึงจะไม่โดดเดี่ยว เจ้าน่าสนใจมาก เป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอตั้งแต่ฝึกปราณมาจนบัดนี้ ข้าตั้งตารอให้ยามมหาสงครามมาเยือน ค่อยมาสู้ตัดสินกับเจ้าอีกครั้ง”
หัวคิ้วของหลินสวินมุ่นขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวว่า “เหตุใดถึงไม่ใช่ตอนนี้”
เซียวหรันยิ้ม รอยยิ้มแฝงนัยลึกล้ำ “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ยังไม่ถึงเวลา รอเมื่อมหาสงครามมาเยือนเจ้าก็จะเข้าใจเอง บางครั้งหากสามารถมีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสักคน ก็จะทำให้ตนเองเดินบนเส้นทางแห่งมหามรรคได้ยาวนานยิ่งขึ้น”
หลินสวินขมวดคิ้ว “เจ้าเห็นข้าเป็นหินลับมีดหรือ”
เซียวหรันหัวเราะอย่างเปิดเผย “จะว่าอย่างนี้ก็ได้”
หลินสวินกล่าวคล้ายขบคิด “ถ้าอย่างนั้นวันนี้หากข้าไม่รับปาก ยืนกรานจะสู้ตัดสินแพ้ชนะกับเจ้าสักตั้งจะว่าอย่างไร”
สีหน้าเซียวหรันยังคงราบเรียบตามเดิม “เจ้าไม่มีโอกาส”
ชิ้ง!
ดาบหักของหลินสวินพุ่งโจมตีออกไปทันควัน กะทันหันถึงขีดสุด พลันเห็นแสงดาบดาราแถบหนึ่งแหวกขวางกลางอากาศราวกับม่านน้ำตก ผ่าลงไปเต็มแรง เปล่งประกายเจิดจ้าน่ากลัวถึงขีดสุด
การโจมตีครั้งนี้กะทันหันมากเกินไปจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าคงตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ
ทว่าเซียวหรันกลับดูเหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาไม่ได้ขยับ ยืนอยู่ตรงนั้นพลางยิ้มบางๆ อากัปกิริยาประดุจเมฆเอื่อยเหนือห้วงนภา แปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก
ฟุ่บ!
ร่างของเขาถูกผ่าขาดเป็นสองท่อน ทว่ากลับไม่มีคราบเลือด ตรงข้ามยังกลายเป็นฝนแสงที่คล้ายฟองอากาศ ปลิวล่องไร้ร่องรอย
“ลืมบอกเจ้าไป ‘คัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา’ ข้าเป็นคนถ่ายทอดให้ศิษย์น้องกงหยางอวี่เอง เพียงแต่น่าเสียดาย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถหยั่งถึงความลี้ลับในนั้นได้ ถึงได้ถูกเจ้าฆ่าตาย…”
ห่างออกไปร้อยจั้ง เงาร่างของเซียวหรันปรากฏขึ้นมา เขายืนสองมือไพล่หลัง หันหน้ามายิ้มให้หลินสวินพลางกล่าว “ขอตัวลาตรงนี้”
ยามที่สิ้นสุดน้ำเสียง เงาร่างของเขาก็โฉบลอยไปยังเชิงเขา ดูคล้ายแช่มช้าเนิบนาบ ทว่ากลับหายลับไปในพริบตาเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์