ต่อมา เขาสร้างมรรคาของตนเองใหม่ระหว่างที่อยู่ในตำหนักโบราณ เป็นการขัดเกลาพลังปราณในตัวอย่างยิ่งยวดโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์และเติมเต็ม
กระทั่งผ่านการประลองกับบุตรเทพชั้นยอดสี่คนครั้งหนึ่ง ในการต่อสู้ได้ครอบครองปริศนาแก่นแท้วิชาอริยะยุทธ์
ทำให้พลังของหลินสวินราวกับถูกเคี่ยวกรำครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนตอนนี้ เขายืนอยู่บนนาวาน้อย จิตใจผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง รับรู้ได้ถึงความงดงามอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ การขับเคลื่อนของพลังทั่วกายพลันเกิดการสั่นสะเทือน มีเสียงโครมคราม
เค้าลางบรรลุขั้นกำลังใกล้เข้ามา
ลมทะเลพัดโบก ท้องฟ้าเข้าสู่อัสดงโพล้เพล้ ขีดคั่นความสว่างและมืดมิด คลื่นทะเลราวเพลิง หมู่ดาราปรากฏให้เห็นรางๆ บนท้องฟ้า ยิ่งใหญ่ไพศาล
หลินสวินยืนโดดเดี่ยว พลิ้วไหวราวจะหลุดพ้นจากโลกาลอยไปตามลม
เขาในตอนนี้ในใจไม่แปดเปื้อนมลทิน ว่างเปล่าโปร่งใส ดวงตาทอดมองไปไกลยังเวิ้งฟ้า ถามเสียงเบาว่า “มรรคอยู่ที่ใด”
เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป มองหลินสวินด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ล้อเลียนตลกขบขันอย่างหาได้ยากนัก
เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเห็นว่า ‘มรรค’ นี้เหมือนทะเลใหญ่ตรงหน้า ไหลทั่วใต้หล้า ล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน”
คิดไปคิดมาเจ้าคางคกก็พูดอีกว่า “‘มรรค’ ดุจดั่งอาทิตย์อัสดงคล้อยไปไกล เคลื่อนเร้นในราตรี สาดส่องในทิวา คืนกลับเป็นวัฏจักร หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
หลินสวินส่ายหน้า “หากข้าถมทะเลนี้ให้ราบเรียบ ทำลายดวงอาทิตย์ให้แหลกสลาย! มรรคจะยังคงดำรงอยู่หรือ”
เจ้าคางคกเบิกตากว้างแล้วพูดว่า “เจ้าหนูตัวดี เจ้าทนดูความหมายลึกล้ำแห่งการหยั่งรู้ของข้าไม่ได้หรือ”
หลินสวินพลันหัวเราะแล้ว “หากหยั่งถึงการดำรงอยู่ของมรรค เหตุใดจึงต้องพูดถึงทะเลและดวงอาทิตย์”
“เช่นนั้นเจ้าพูดมา มรรคอยู่ที่ใด” เจ้าคางคกไม่สบอารมณ์
หลินสวินไม่พูด เดินออกไปก้าวหนึ่ง
ทันใดนั้นกระแสพลังไร้รูปร่างพุ่งออกมาจากรอบกายหลินสวิน พวยพุ่งไปยังเมฆา ชนให้ชั้นเมฆแหลกสลาย!
บนผืนน้ำที่อยู่ไกลออกไป ฟองคลื่นนับไม่ถ้วนม้วนตลบซู่ซ่า หยดย้ำราวไข่มุกทุกหยดล้วนสะท้อนภาพนิมิตงดงามของฟ้าดิน หยดน้ำนับหมื่นพันกลายเป็นฟองคลื่น คลื่นกระเพื่อมนี้ไหววูบไม่ว่างเว้น
ปลาลายด่างมีสีสันฝูงแล้วฝูงเล่ากระโจนขึ้นมาตามฟองคลื่น วาดวงโคจรงดงามเส้นแล้วเส้นเล่า
ไม่นานนักน่านน้ำนี้พลุ่งพล่าน เหมือนกลับมามีชีวิตจากการหลับไหล ฟองคลื่นมากมาย ฝูงปลาโลดแล่น อาทิตย์อัสดงสาดสีแดงกุหลาบ คลื่นน้ำราวภาพฝัน
บนท้องฟ้าหมู่ดาราพร่างพรายระยิบระยับเหมือนลมหายใจเข้าออก
ภาพการณ์เช่นนี้ดุจม้วนภาพที่ผสานความเคลื่อนไหวและความนิ่งสงบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว บรรจุความงดงามยิ่งใหญ่ของฟ้าดินภายในนั้น
ส่วนหลินสวินกลับเป็น ‘คนที่อยู่ในภาพ’ การขับเคลื่อนของพลังรอบกลายพวยพุ่ง ดุจตวัดพู่กันเพิ่มแสงเงาให้ภาพนี้
มัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!
“นี่ก็คือมรรค”
หลินสวินหันหน้ามามองเจ้าคางคก ดวงตาสีดำลุ่มลึกเปล่งประกายสดใส
เจ้าคางคกอึ้งไป มองหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า ฟ้าดินราวภาพวาดที่ไกลออกไปนั้น ดุจกลายเป็นพื้นหลังที่ขับเน้นเขาให้โดดเด่น ในใจมีความหวั่นไหวที่ยากบรรยาย
“นี่เป็น… ‘มรรค’ ของข้า!”
หลินสวินหันกายไปอีก สายตาทอดมองไปไกล เวลานี้อาทิตย์อัสดงหายลับขอบฟ้า รัตติกาลมาถึงในที่สุด ดวงดาราบนท้องฟ้าเจิดจ้า ส่องสว่างราวอัญมณี
ดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยสูงขึ้น เปล่งรัศมีกระจ่าง สะท้อนภาพไหววูบส่องสว่าง
น่านน้ำนี้ยิ่งเงียบสงบและกว้างใหญ่ขึ้นแล้ว
เจ้าคางคกนิ่งไปครู่ใหญ่ อดไม่ได้ด่าทอออกมาว่า “ให้ตายสิ เจ้าหนูเจ้าถึงกับบรรลุขั้นไปเองตามธรรมชาติเช่นนี้แล้ว!?”
ประโยคนี้พลันทำให้เสียบรรยากาศ ทำลายทิวทัศน์อันงดงาม
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว มุมปากกระตุกอย่างยากสังเกต
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หลุดหัวเราะ ในที่สุดก็อดแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าไม่ได้ เต็มไปด้วยความสบายใจและเบิกบาน ดังขึ้นทั่วฟ้าดิน
จริงด้วย เขาบรรลุขั้นแล้ว เมื่อย่างก้าวออกไปก็เหยียบย่างเข้าไปในขั้นกลางของระดับหยั่งสัจจะ พร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดราวภาพวาดมัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!
ทั้งหมดนี้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ดุจจันทร์เต็มดวงเริ่มแหว่งเว้า ประหนึ่งน้ำเต็มไหลหลั่งออกมา
นี่ก็คือมรรคาของหลินสวิน เป็นหนทางมกุฎมรรคาหลังจากทำให้สมบูรณ์แบบถึงที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกปราณหรือการเลื่อนขั้น ต้องไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้าแน่!
……
แสงจันทร์ราววารี รัศมีกระจ่างส่องลงมายังผิวน้ำ ใสสว่างราวเงิน
บนนาวาน้อย หลินสวินนั่งอยู่หน้าโต๊ะตามใจ ลิ้มลองเนื้อเต่าทมิฬที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองมันวาวพลางดื่มสุรา
เจ้าคางคกกลับกำลังลงแรงย่างเนื้อ ดีใจจนตื่นเต้น นี่เป็นเนื้อของเสวียนหลัวจื่อบุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬ กลับถูกเขาย่างสุกเอามากิน
เดิมทีหลินสวินปฏิเสธ รู้สึกว่านี่เหมือนกินเนื้อคน
แต่เจ้าคางคกสั่งสอนเขาอย่างเคร่งครัด บอกว่าเต่าทมิฬนี้เป็นสัตว์ปีศาจในทะเล ทั้งมีรสชาติเลอเลิศหาใดเทียบ ในยุคบรรพกาล อริยะมากมายเมื่อกินแล้วล้วนชมไม่ขาดปาก
หลินสวินลังเลเล็กน้อย ฝืนชิมไปคำหนึ่ง
จากนั้น…
เขาก็สลัดทิ้งความกังวลทั้งหมด กินจนหยุดไม่ได้!
สาเหตุก็เป็นอย่างที่เจ้าคางคกพูดไว้ เนื้อของเต่าทมิฬนั้นอร่อยยิ่งนัก สดและนุ่มหาใดเทียบ เคี้ยวเพลินนัก ไม่ต้องมีเครื่องปรุงรสใดก็เรียกได้ว่าเลิศรสเหนือสิ่งใด
“เฮ้ยๆ เจ้ากินน้อยหน่อย เหลือให้ข้าบ้าง!”
เมื่อเห็นหลินสวินกินเร็วนัก เจ้าคางคกพลันโมโหแล้ว พุ่งเข้ามาแย่งกิน กินไปชมไป “สาแก่ใจจริงโว้ย ครั้งหน้าพวกเราก็เอาวัวกับโห่วเมฆาตัวนั้นมากินเถอะ ทิ้งไปก็เสียของเกินไปแล้ว…”
หลินสวินเงียบไม่พูดไม่จา สนใจแต่กินให้เต็มคราบ
เจ้าคางคกกลับยิ่งตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า อริยะยุคบรรพกาลยังเคยได้ลิ้มรสตับมังกรและไขกระดูกปักษาเพลิงของจริง ตามตำนาน นั่นเป็นของชั้นยอดเลิศรสเชียวนะ เหล่าทวยเทพล้วนน้ำลายสอ สักวันหนึ่งข้าก็จะต้องได้ลิ้มรสด้วยตัวเองให้จงได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์