ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดราวป่าช้า ลั่วหยาขมวดคิ้วเอ่ย คำพูดเพียงประโยคเดียวทำเอาสีหน้าหนุ่มสาว ณ ที่นั้นต่างดูกระอักกระอ่วน
“สหายยุทธ์ลั่วหยา ใช่ว่าพวกเราจิตใจหวาดกลัว แต่เป็นเพราะเล่าลือกันว่าเด็กหนุ่มเทพมารนี่น่ากลัวเกินไปจริงๆ ประหนึ่งเทพสังหารโดยสิ้นเชิง สำหรับคนเยี่ยงนี้พวกเราไม่กล้าดูถูกเป็นธรรมดา”
มีคนออกปาก พยายามผ่อนคลายบรรยากาศลงสักหน่อย
“ใช่แล้ว ในน่านสมุทรทะเลใต้ทุกวันนี้ ขอแค่เป็นพวกหูไวตาไวต่างกำลังกระจายข่าวเด็กหนุ่มเทพมารนี่ไปทั่ว ว่าแม้แต่บุตรเทพแห่งยุคอย่างหนิวทุนเทียนยังเคยปราชัยในมือคนผู้นี้ ใครยังจะกล้ามองข้ามพลานุภาพร้ายกาจของคนผู้นี้เล่า”
“ไม่เพียงแค่หนิวทุนเทียน แม้แต่พวกเมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่ว เสวียนหลัวจื่อร่วมมือกัน ต่างถูกเด็กหนุ่มเทพมารนั่นคนเดียวกำราบลง ณ ที่นั้น ช่างเหี้ยมโหดป่าเถื่อนถึงขีดสุดซะจริง!”
คนอื่นที่อยู่ในโถงต่างเปิดปากพูดกันไม่หยุด
เวลานี้ชิงอวิ๋นหยางสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อยแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดหวาดหวั่นที่ทุกคนมีต่อหลินสวิน แววตายังคงแปลกพิกลอยู่บ้าง
เขาแอบกล่าวอยู่ในใจ ‘หากให้พวกเจ้ารู้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารนั่นอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงทำพวกเจ้าตกใจตะลึงงันเป็นแน่…’
เขาเหล่ตามองหลินสวิน กลับเห็นหลินสวินเสมือนไม่รับรู้อะไรเหมือนเดิม กำลังลิ้มสุราเลิศทีละอึกๆ เห็นชัดว่าสบายใจและอิสระยิ่ง
‘ช่างเป็นสัตว์ประหลาดตนหนึ่งซะจริง’ ชิงอวิ๋นหยางแอบแขวะ
“ที่ทุกท่านกล่าวมาล้วนไม่ผิด ผลการรบของเด็กหนุ่มเทพมารนี่เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งทั่ว แน่นอนว่าข้าเองก็จะไม่ประเมินคนผู้นี้ต่ำไป”
ลั่วหยาเอ่ยคำพูดราบเรียบต่ำลึก “แต่ว่าต่อให้เขาร้ายการแค่ไหนก็เป็นแค่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง น่านสมุทรทะเลใต้แห่งนี้คืออาณาเขตของพวกเรา ไยจะทนให้เผ่ามนุษย์คนหนึ่งมาลำพองได้”
พูดถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงเขาพลันดังขึ้นอย่างน่ายำเกรง มีพลังอำนาจข่มขู่ผู้คน!
มีคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “หรือว่าสหายยุทธ์ลั่วหยาเรียกชุมนุมครั้งนี้ ก็เพื่อปรึกษาหารือว่าจะรับมือกับเด็กหนุ่มเทพมารนั่นอย่างไร?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนทั้งหมดล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“ไม่ผิด”
ลั่วหยากลับไม่ปฏิเสธ “ตามที่นักบวชอาวุโสเผ่าหงส์ทมิฬของข้าผู้หนึ่งคาดการณ์ สามารถมั่นใจได้ว่า ตอนนี้เด็กหนุ่มเทพมารนั่นยังไม่ไปจากน่านสมุทรทะเลใต้นี้ นี่แหละคือโอกาสอันดีที่สุดที่พวกเราจะจัดการมัน!”
คำพูดเขาแม้กึงก้องกังวาน แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แต่ละเผ่า ณ ที่นั้นกลับไม่ขานรับ
ตรงกันข้าม เมื่อได้ยินคำพูดนี้เกือบทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนแปร ไม่คิดว่าอีกฝ่ายหมายจัดการเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจริงๆ
นี่มัน…
แต่ละคนล้วนลังเล นั่นน่ะคือเด็กหนุ่มเทพมารนะ! สังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่ากระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน ดูราวไม่อาจรบชนะได้ ไปจัดการเขาหรือ นั่นมันต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
ต้องรู้ว่าตอนนั้นที่นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ยังมีคนใหญ่คนโตจ้องตะครุบดุจพญาเสือ แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มเทพมารนั่นยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ให้คนอย่างพวกเขาไปประมือเด็กหนุ่มเทพมารนั่น ช่างเป็นการล้อเล่นชัดๆ!
“สหายยุทธ์ลั่วหยา ทำเช่นนี้เกรงว่าไม่เหมาะกระมัง”
มีคนคิ้วขมวด
“ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว”
ลั่วหยายิ้มเล็กน้อย เผชิญสายตาตั้งคำถามของทุกคน เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจยิ่งนัก “บางทีพวกเราอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มเทพมารนั่น แต่อย่าลืมว่าเบื้องหลังพวกเรายังมีคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าอยู่!”
“แต่พวกเราและเด็กหนุ่มเทพมารนั่นหาใช่ศัตรูคู่อาฆาต เหตุใดต้องจัดการเขาด้วยเล่า”
มีคนแค่นเสียง
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา พลันก่อเกิดเสียงคล้อยตามมากมายทันที
“พวกเจ้าผิดแล้ว!”
ลั่วหยาสูดหายใจลึก น้ำเสียงลุ่มลึก “ตามข่าวกรองที่ข้าได้รับ ในแต่ละขุมอำนาจใหญ่ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เห็นจะมีเพียงเด็กหนุ่มเทพมารนี่กลายเป็นผู้ชนะมากที่สุด บนตัวเขาครอบครองมหาศุภโชคเหนือจินตนาการ!”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาปรากฏความบ้าคลั่งวูบหนึ่ง “ทุกท่าน นั่นคือมหาศุภโชคที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรค! อีกทั้งเด็กนั่นยังสังหารบุตรเทพและผู้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น กวาดทรัพย์หลังศึกไม่รู้เท่าไหร่ หากสามารถจับเขาได้…”
พูดไม่ทันจบผู้คนโถงใหญ่พลันใจสั่นสะท้าน นัยน์ตาส่องประกายแวววับไม่หยุด
ท้ายที่สุดพวกเขาก็เข้าใจเจตนาของลั่วหยา ที่แท้ทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคและสมบัติติดตัวของเด็กหนุ่มเทพมารนั่น!
ดังคำกล่าวที่ว่าทรัพย์สมบัติเย้ายวนใจผู้คน นับประสาอะไรกับศุภโชคยิ่งใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับอริยมรรค ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งมากมายต่างใจเต้นระรัว
ลั่วหยาเห็นทุกอย่างนี้ในสายตา สีหน้ามั่นใจยิ่งกว่าเดิม กล่าวว่า “พูดได้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารนั่นคือมหาศุภโชคที่มีชีวิต! หากสามารถจับเขาได้ ต้องได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการเป็นแน่!”
เขาหยุดไปชั่วขณะพลางกล่าวต่อ “อีกทั้งการเคลื่อนไหวของพวกเราครานี้ ขอแค่ค้นหาและสืบเสาะร่องรอยของเด็กหนุ่มเทพมารนั่นก็เพียงพอแล้ว ถึงคราวลงมือจริงคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าต้องมาถึงแต่พริบตาแรกแน่นอน”
“ข้าว่าเป็นไปได้!”
ทันใดนั้นมีคนเห็นด้วยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ก็ถูก น่านสมุทรทะเลใต้นี้คืออาณาเขตของพวกเรา! หากให้เด็กหนุ่มเทพมารนั่นหนีไป ก็เท่ากับขุมอำนาจแต่ละเผ่าอย่างพวกเราไร้สามารถเกินไปแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งอื่นๆ ต่างคล้อยตาม ถึงอย่างไรก็มิใช่พวกเขาลงมือเอง แค่สืบเสาะข่าวสารและร่องรอยเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาหวังเห็นสิ่งนั้นกลายเป็นจริง
‘หากว่าข้าแพร่ข่าวออกไป…’
ชิงอวิ๋นหยางได้ยินก็ใจเต้นไม่หยุด เหลือบมองหลินสวินที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
กลับเห็นฝ่ายหลังมองมาอย่างเงียบงันไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาดูเหมือนราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความหนาวเยือกเย็นชา
นี่ทำเอาชิงอวิ๋นหยางสั่นกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นั่นมันดวงตาเยียบเย็นระดับใดกัน ประดุจเทพสังหารตนหนึ่งกำลังเหลือบมองโลกหล้าจากเบื้องบน เห็นสรรพสิ่งเป็นมดปลวก นักฆ่ามือสังหารฆ่าคน ยังมีใจนึกหวาดกลัว แต่หากเทพสังหารผู้หนึ่งเหยียบมดปลวกตาย ไยจะต้องใส่ใจ
ทันใดนั้นชิงอวิ๋นหยางดับความคิดลง หนาวสะท้านไปทั้งตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์