หลันเทียนฉีมีความสามารถพอจะกลายเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดได้ ประสบการณ์ในการต่อสู้ย่อมมีล้นเหลือ เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ค่อนข้างยากต่อกร
เพียงแต่คิดหัวแทบระเบิดเขาก็คิดไม่ออก ในบรรดาขุมอำนาจแต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ มีบุคคลเก่งกาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นเมื่อไรกัน
ไฉนก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่หลันเทียนฉีไม่มีเวลาคิดมาก ในการโจมตีครั้งที่สอง เขาเรียกอาวุธของตนออกมา เป็นดาบศึกที่รายล้อมด้วยรัศมีสายฟ้าสีเงินโชติช่วงเล่มหนึ่ง
ดาบกลืนอสนี!
สมบัติเก่าแก่อันแกร่งกล้าชิ้นหนึ่ง ประทับด้วยพลังแห่งอสนีศึกวิญญาณสีเงิน เปี่ยมด้วยพลังแห่งการทำล้ายล้าง ต่อให้เป็นในน่านสมุทรทะเลใต้ ดาบเล่มนี้ก็ยังเลื่องชื่อลือชา
เพราะนี่คืออาวุธบรรพบุรุษชิ้นหนึ่งในเผ่าของหลันเทียนฉี เล่าลือว่าในยุคบรรพกาล ดาบนี้ยังเคยย้อมด้วยโลหิตแห่งอริยะที่แท้จริง อานุภาพมิอาจวัดได้
“หลันเทียนฉีถึงกับงัดสมบัติลับออกมาใช้!”
ผู้คนในโถงใหญ่ต่างตกตะลึง ยิ่งตระหนักได้ว่าหลันเทียนฉีทำเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่ารับรู้ถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นศัตรูตัวฉกาจ
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ แม้จะเป็นดังนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังคงตั้งรับมือเปล่า!
เขามั่นใจในว่าสามารถต่อกรกับหลันเทียนฉีได้โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติใดๆ หรือ
ผู้คนสะท้านใจ
พวกเขาไม่รู้ว่ายามอยู่ในอาศรมเก่าแก่ของแดนลับอสูรมารอริยะ ยามที่เอาชนะพวกหนิวทุนเทียนนั้น หลินสวินสู้สี่รุมหนึ่งด้วยการใช้มือเปล่าเช่นเดียวกัน!
หลินสวินในตอนนั้นยังอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นเท่านั้น ส่วนเขาในตอนนี้ ได้เหยียบย่างสู่หยั่งสัจจะขั้นกลางแล้ว ความแข็งแกร่งทั่วกายบังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
“ฟ้าคำรามพิฆาต!”
หลันเทียนฉีตะโกนลั่น เปล่งเสียงกึกก้อง พลันเห็นลำแสงดาบแล่นปราดผ่านอากาศดังฟึ่บ ห้วงอากาศถูกทลายแหลก แสงดาบสว่างจ้าพราวตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศบางเบา
ชั่วขณะเดียวประดุจเคราะห์อสนีฟาดลงมาจากฟากฟ้า หมายทำลายล้างพิภพ!
กลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั้นทำให้ฝูงชนหนังศีรษะชาวาบ แทบหยุดหายใจ น่ากลัวเกินไปแล้ว การโจมตีครั้งนี้หากใช้กับพวกเขา พวกเขาต่างไม่รู้ว่าควรหลบเลี่ยงอย่างไร
แม้ว่าจะเป็นชิงอวิ๋นหยางที่มั่นใจในตัวหลินสวินยิ่งยวด เวลานี้ก็ยังหวั่นไหว เขารู้จักหลันเทียนฉีดี คนผู้นี้ถึงแม้ดุร้ายโหดเหี้ยม ทว่าพลังการต่อสู้กลับเรียกได้ว่าน่ากลัวดุดันอย่างแท้จริง
อีกทั้งในฐานะบุตรเทพชั้นยอดผู้หนึ่ง ในน่านสมุทรทะเลใต้ คนคนนี้พวกเหี้ยมโหดที่ทำให้คนในรุ่นเดียวกันต้องหลบเลี่ยงเพียงได้ยิน
และตอนนี้เขาจู่โจมด้วยพลังทั้งหมด เรียกสมบัติลับออกมา สำแดงวิชาลับ ท่าทางเผด็จการไร้ขอบเขตเช่นนั้น ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อาจสงบลงได้
แล้วหลินสวินเขา…จะสามารถสกัดกั้นได้หรือ
ปัง!
กลับเห็นเรือนผมสีดำของหลินสวินแผ่วพลิ้ว สีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งไม่ไหวติง เผชิญหน้ากับการจู่โจมแสนสะพรึงระดับนี้ เขาไม่แม้แต่จะขยับมือ เพียงสาวเท้าไปหนึ่งก้าวเท่านั้น
ก้าวเดียว!
กลับมีเสียงมังกรคำรามกึกก้องขึ้น ชือน้ำแข็งขาวหิมะปรากฏขึ้นประหนึ่งมีชีวิต แหงนเงยขึ้นเวหา ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลที่ยากจะพรรณนา
ภาพนี้กลับเป็นเหมือนสัตว์เทพบรรพกาลอย่างแท้จริงตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร่างพราวตาเสมือนหิมะน้ำแข็ง ทั้งยังมีกลิ่นอายเฉยชาสง่างามที่หมิ่นแคลนทุกสรรพชีวิต
ชั่วขณะนั้นทั้งโถงต่างมีสีหน้าขาวซีด จิตใจประหวั่นไม่สงบ ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนกกับกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากเงามายาชือน้ำแข็งตัวนั้น
ฮูม!
เสียงคำรามกึกก้อง ชือน้ำแข็งทะยานฟ้า ร่างม้วนเกลียวอาจองดั่งหิมะน้ำแข็ง บดขยี้เงาดาบแสงอสนีทั่วฟ้าให้เป็นผุยผงอย่างง่ายดาย กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น
ตูม!
ในขณะเดียวกัน ฝั่งหลันเทียนฉีเองก็ราวกับถูกอสนีบาต ร่างกายสั่นสะท้าน ง่ามนิ้วหัวแม่มือสั่นเทา ดาบกลืนอสนีร้องโหยหวนไม่ขาดสาย เกือบจะหลุดลอยออกจากไปมือ
ชั่วขณะนั้นสีหน้าหลันเทียนฉีพลันเปลี่ยนไป เคร่งเครียดเป็นประวัติการณ์ นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรุ่นเดียวกัน!
นับตั้งแต่ฝึกปราณจวบจนบัดนี้ เขาเองก็เคยแลกเปลี่ยนเรียรู้ซึ่งกันและกันกับบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดไม่น้อย แต่ยังไม่เคยพานพบคนที่น่ากลัวเฉกเช่นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นเลยสักคน!
เจ้าหมอนั่นก็เหมือนกับหุบเหว ลึกสุดหยั่ง คาดเดามิได้ ทำให้ผู้คนพรั่นใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ดุจดั่งเผชิญหน้ากับผู้เป็นราชัน แม้พลังอำนาจของเขาจะราบเรียบ ความแข็งแกร่งแห่งพลังกลับมิอาจวัดได้!
เมื่อมองไปยังคนอื่นๆ ในโถง ทุกคนล้วนแน่นิ่งประหนึ่งเป็นรูปปั้นดินเหนียว แม้แต่ลั่วหยา เว่ยซางและไล่อวิ๋นเซินที่เคยพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของหลินสวินต่างก็สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น ภายในใจมีความหวาดกลัวใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง!
จวบจนบัดนี้พวกเขาถึงได้รู้ การปะทะกับเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนหน้านี้ แม้พวกเขาจะถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว แต่อีกฝ่ายก็เก็บงำพลังที่แท้จริงเอาไว้อยู่อีกโข!
หากตอนนั้นอีกฝ่ายมิได้ออมมือละก็…
เมื่อนึกถึงตรงนี้พวกเขาต่างสั่นไปทั้งร่าง ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงเกินไป ทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดต่อไปอีก
‘มิน่าเล่า ไม่ว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นหรือบุคคลโดดเด่นรุ่นเยาว์พวกนั้น ต่างก็เรียกขานเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มเทพมาร…’
ชิงอวิ๋นหยางลอบกำหมัดแน่น ภายในใจสั่นสะท้านและฮึกเหิม ผู้แข็งแกร่ง! นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง! ไม่ว่าเจ้าจะมีวิชานับพัน มรดกลับนับหมื่น ข้าจะทำลายมันด้วยพลังแห่งข้าเอง!
“ยังเหลือการโจมตีครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว!”
หลันเทียนฉีสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและบ้าคลั่ง
อานุภาพของเขาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ประดุจพายุก็ไม่ปาน หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แกร่งขึ้นเรื่อยๆ น่าสะพรึงขึ้นทุกขณะ ทั่วสรรพางค์พรุ่งพรูแสงอสนีที่ประหนึ่งของเหลวชุ่มฉ่ำ พร่างพราวเจิดจ้า ทำให้ผู้คนมิกล้าฝืนมอง
ตูม!
หลังจากเสียงดังกระหึ่ม ผู้คนก็ตระหนักได้ทันใดว่าหลันเทียนฉีบรรลุขั้นแล้ว!
เขาถึงกับกระโดดจากระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงในเวลานี้ ความแข็งแกร่งทั่วกายเกิดการเลื่อนชั้นขึ้นทั้งหมด!
“ข้าหลันเทียนฉีฝึกปราณมาจนบัดนี้ ทุกวันล้วนเคี่ยวเข็ญฐานมรรคแห่งตน ควบคุมขอบเขต ล้วนทำเพื่อชิงหนทางแห่งมหามรรคอันสมบูรณ์แบบในการต่อสู้มหามรรคหลังจากนี้ และวันนี้เจ้าโชคดียิ่งนัก ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ครั้งหนึ่งบนเส้นทางสายนี้ของข้าด้วยตาตัวเอง”
หลันเทียนฉีท่วงท่าน่าเกรงขามและเย็นชา นัยน์ตาพรั่งพรูด้วยพายุสายฟ้า พลานุภาพสั่นสะเทือนโถงใหญ่ ทำให้ทุกผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันและอึดอัด
“แต่ว่า เจ้าเองก็เคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน การโจมตีครั้งที่สามนี้จะตัดสินแพ้ชนะ และเจ้า… ถูกลิขิตให้วางวายภายใต้มรรคาแห่งข้า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์