Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 633

สรุปบท ตอนที่ 633: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 633 จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 633 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 633 ล้วนเป็นหมัดเดียวที่มอบให้
ตอนที่ 633 ล้วนเป็นหมัดเดียวที่มอบให้
โดย
ProjectZyphon
เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งยิ่ง!

หลันเทียนฉีมีความสามารถพอจะกลายเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดได้ ประสบการณ์ในการต่อสู้ย่อมมีล้นเหลือ เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ค่อนข้างยากต่อกร

เพียงแต่คิดหัวแทบระเบิดเขาก็คิดไม่ออก ในบรรดาขุมอำนาจแต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ มีบุคคลเก่งกาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นเมื่อไรกัน

ไฉนก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน

แต่หลันเทียนฉีไม่มีเวลาคิดมาก ในการโจมตีครั้งที่สอง เขาเรียกอาวุธของตนออกมา เป็นดาบศึกที่รายล้อมด้วยรัศมีสายฟ้าสีเงินโชติช่วงเล่มหนึ่ง

ดาบกลืนอสนี!

สมบัติเก่าแก่อันแกร่งกล้าชิ้นหนึ่ง ประทับด้วยพลังแห่งอสนีศึกวิญญาณสีเงิน เปี่ยมด้วยพลังแห่งการทำล้ายล้าง ต่อให้เป็นในน่านสมุทรทะเลใต้ ดาบเล่มนี้ก็ยังเลื่องชื่อลือชา

เพราะนี่คืออาวุธบรรพบุรุษชิ้นหนึ่งในเผ่าของหลันเทียนฉี เล่าลือว่าในยุคบรรพกาล ดาบนี้ยังเคยย้อมด้วยโลหิตแห่งอริยะที่แท้จริง อานุภาพมิอาจวัดได้

“หลันเทียนฉีถึงกับงัดสมบัติลับออกมาใช้!”

ผู้คนในโถงใหญ่ต่างตกตะลึง ยิ่งตระหนักได้ว่าหลันเทียนฉีทำเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่ารับรู้ถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นศัตรูตัวฉกาจ

สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ แม้จะเป็นดังนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังคงตั้งรับมือเปล่า!

เขามั่นใจในว่าสามารถต่อกรกับหลันเทียนฉีได้โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติใดๆ หรือ

ผู้คนสะท้านใจ

พวกเขาไม่รู้ว่ายามอยู่ในอาศรมเก่าแก่ของแดนลับอสูรมารอริยะ ยามที่เอาชนะพวกหนิวทุนเทียนนั้น หลินสวินสู้สี่รุมหนึ่งด้วยการใช้มือเปล่าเช่นเดียวกัน!

หลินสวินในตอนนั้นยังอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นเท่านั้น ส่วนเขาในตอนนี้ ได้เหยียบย่างสู่หยั่งสัจจะขั้นกลางแล้ว ความแข็งแกร่งทั่วกายบังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป

“ฟ้าคำรามพิฆาต!”

หลันเทียนฉีตะโกนลั่น เปล่งเสียงกึกก้อง พลันเห็นลำแสงดาบแล่นปราดผ่านอากาศดังฟึ่บ ห้วงอากาศถูกทลายแหลก แสงดาบสว่างจ้าพราวตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศบางเบา

ชั่วขณะเดียวประดุจเคราะห์อสนีฟาดลงมาจากฟากฟ้า หมายทำลายล้างพิภพ!

กลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั้นทำให้ฝูงชนหนังศีรษะชาวาบ แทบหยุดหายใจ น่ากลัวเกินไปแล้ว การโจมตีครั้งนี้หากใช้กับพวกเขา พวกเขาต่างไม่รู้ว่าควรหลบเลี่ยงอย่างไร

แม้ว่าจะเป็นชิงอวิ๋นหยางที่มั่นใจในตัวหลินสวินยิ่งยวด เวลานี้ก็ยังหวั่นไหว เขารู้จักหลันเทียนฉีดี คนผู้นี้ถึงแม้ดุร้ายโหดเหี้ยม ทว่าพลังการต่อสู้กลับเรียกได้ว่าน่ากลัวดุดันอย่างแท้จริง

อีกทั้งในฐานะบุตรเทพชั้นยอดผู้หนึ่ง ในน่านสมุทรทะเลใต้ คนคนนี้พวกเหี้ยมโหดที่ทำให้คนในรุ่นเดียวกันต้องหลบเลี่ยงเพียงได้ยิน

และตอนนี้เขาจู่โจมด้วยพลังทั้งหมด เรียกสมบัติลับออกมา สำแดงวิชาลับ ท่าทางเผด็จการไร้ขอบเขตเช่นนั้น ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อาจสงบลงได้

แล้วหลินสวินเขา…จะสามารถสกัดกั้นได้หรือ

ปัง!

กลับเห็นเรือนผมสีดำของหลินสวินแผ่วพลิ้ว สีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งไม่ไหวติง เผชิญหน้ากับการจู่โจมแสนสะพรึงระดับนี้ เขาไม่แม้แต่จะขยับมือ เพียงสาวเท้าไปหนึ่งก้าวเท่านั้น

ก้าวเดียว!

กลับมีเสียงมังกรคำรามกึกก้องขึ้น ชือน้ำแข็งขาวหิมะปรากฏขึ้นประหนึ่งมีชีวิต แหงนเงยขึ้นเวหา ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลที่ยากจะพรรณนา

ภาพนี้กลับเป็นเหมือนสัตว์เทพบรรพกาลอย่างแท้จริงตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร่างพราวตาเสมือนหิมะน้ำแข็ง ทั้งยังมีกลิ่นอายเฉยชาสง่างามที่หมิ่นแคลนทุกสรรพชีวิต

ชั่วขณะนั้นทั้งโถงต่างมีสีหน้าขาวซีด จิตใจประหวั่นไม่สงบ ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนกกับกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากเงามายาชือน้ำแข็งตัวนั้น

ฮูม!

เสียงคำรามกึกก้อง ชือน้ำแข็งทะยานฟ้า ร่างม้วนเกลียวอาจองดั่งหิมะน้ำแข็ง บดขยี้เงาดาบแสงอสนีทั่วฟ้าให้เป็นผุยผงอย่างง่ายดาย กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น

ตูม!

ในขณะเดียวกัน ฝั่งหลันเทียนฉีเองก็ราวกับถูกอสนีบาต ร่างกายสั่นสะท้าน ง่ามนิ้วหัวแม่มือสั่นเทา ดาบกลืนอสนีร้องโหยหวนไม่ขาดสาย เกือบจะหลุดลอยออกจากไปมือ

ชั่วขณะนั้นสีหน้าหลันเทียนฉีพลันเปลี่ยนไป เคร่งเครียดเป็นประวัติการณ์ นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรุ่นเดียวกัน!

นับตั้งแต่ฝึกปราณจวบจนบัดนี้ เขาเองก็เคยแลกเปลี่ยนเรียรู้ซึ่งกันและกันกับบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดไม่น้อย แต่ยังไม่เคยพานพบคนที่น่ากลัวเฉกเช่นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นเลยสักคน!

เจ้าหมอนั่นก็เหมือนกับหุบเหว ลึกสุดหยั่ง คาดเดามิได้ ทำให้ผู้คนพรั่นใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ดุจดั่งเผชิญหน้ากับผู้เป็นราชัน แม้พลังอำนาจของเขาจะราบเรียบ ความแข็งแกร่งแห่งพลังกลับมิอาจวัดได้!

เมื่อมองไปยังคนอื่นๆ ในโถง ทุกคนล้วนแน่นิ่งประหนึ่งเป็นรูปปั้นดินเหนียว แม้แต่ลั่วหยา เว่ยซางและไล่อวิ๋นเซินที่เคยพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของหลินสวินต่างก็สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น ภายในใจมีความหวาดกลัวใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง!

จวบจนบัดนี้พวกเขาถึงได้รู้ การปะทะกับเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนหน้านี้ แม้พวกเขาจะถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว แต่อีกฝ่ายก็เก็บงำพลังที่แท้จริงเอาไว้อยู่อีกโข!

หากตอนนั้นอีกฝ่ายมิได้ออมมือละก็…

เมื่อนึกถึงตรงนี้พวกเขาต่างสั่นไปทั้งร่าง ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงเกินไป ทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดต่อไปอีก

‘มิน่าเล่า ไม่ว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นหรือบุคคลโดดเด่นรุ่นเยาว์พวกนั้น ต่างก็เรียกขานเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มเทพมาร…’

ชิงอวิ๋นหยางลอบกำหมัดแน่น ภายในใจสั่นสะท้านและฮึกเหิม ผู้แข็งแกร่ง! นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง! ไม่ว่าเจ้าจะมีวิชานับพัน มรดกลับนับหมื่น ข้าจะทำลายมันด้วยพลังแห่งข้าเอง!

“ยังเหลือการโจมตีครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว!”

หลันเทียนฉีสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและบ้าคลั่ง

อานุภาพของเขาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ประดุจพายุก็ไม่ปาน หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แกร่งขึ้นเรื่อยๆ น่าสะพรึงขึ้นทุกขณะ ทั่วสรรพางค์พรุ่งพรูแสงอสนีที่ประหนึ่งของเหลวชุ่มฉ่ำ พร่างพราวเจิดจ้า ทำให้ผู้คนมิกล้าฝืนมอง

ตูม!

หลังจากเสียงดังกระหึ่ม ผู้คนก็ตระหนักได้ทันใดว่าหลันเทียนฉีบรรลุขั้นแล้ว!

เขาถึงกับกระโดดจากระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงในเวลานี้ ความแข็งแกร่งทั่วกายเกิดการเลื่อนชั้นขึ้นทั้งหมด!

“ข้าหลันเทียนฉีฝึกปราณมาจนบัดนี้ ทุกวันล้วนเคี่ยวเข็ญฐานมรรคแห่งตน ควบคุมขอบเขต ล้วนทำเพื่อชิงหนทางแห่งมหามรรคอันสมบูรณ์แบบในการต่อสู้มหามรรคหลังจากนี้ และวันนี้เจ้าโชคดียิ่งนัก ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ครั้งหนึ่งบนเส้นทางสายนี้ของข้าด้วยตาตัวเอง”

หลันเทียนฉีท่วงท่าน่าเกรงขามและเย็นชา นัยน์ตาพรั่งพรูด้วยพายุสายฟ้า พลานุภาพสั่นสะเทือนโถงใหญ่ ทำให้ทุกผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันและอึดอัด

“แต่ว่า เจ้าเองก็เคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน การโจมตีครั้งที่สามนี้จะตัดสินแพ้ชนะ และเจ้า… ถูกลิขิตให้วางวายภายใต้มรรคาแห่งข้า!”

หลันเทียนฉีคำรามอย่างเดือดดาล พลังทั่วร่างถูกเร่งเร้า ใช้วิธีที่แทบจะเป็นการทำลายตัวเองรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในหนึ่งดาบ พุ่งฟันสังหารออกมาอย่างรุนแรง

พริบตานั้นหลันเทียนฉีมีความรู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายถูกสูบพลังจนเกลี้ยง เขารู้ดี การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไป ตนเพิ่งเลื่อนขั้น ต่อให้กำชัยได้ในท้ายที่สุด ก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของตนอยู่ดี

ทว่า…

ขอเพียงพิชิตอีกฝ่ายได้ ทุกอย่างนี้ก็คุ้มค่า!

เพียงแต่ขณะที่การโจมตีนี้ปะทะกันอย่างแท้จริง หลันเทียนฉีกลับพบว่า ท้ายที่สุดตนเองก็ยังผิดอยู่ดี…

ตูม!

แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจาย หมัดสะท้านภูผาธารา ของประดับตกแต่งทั้งหมดในโถงใหญ่แห่งนี้ล้วนถูกทำลายแหลกสลาย ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนมากหลบเลี่ยงไม่ทันยิ่งได้รับผลกระทบ ถูกซัดกระเด็นออกไปจนร้องโหยหวน

ภาพนั้นราวกับมีพายุรุนแรงอุบัติขึ้น ทำให้ทั่วทั้งโถงอลหม่าน

ตึง!

เมื่อเสียงดังสนั่นทั้งปวงหายไป ก็เห็นร่างของหลันเทียนฉีคล้ายกับภูเขาที่ไม่อาจรับน้ำหนักไหว พังครืนโดยพลัน ทรุดล้มลงกับพื้น

ริมฝีปากของเขากระอักเลือด กล้ามเนื้อทั่วร่างสั่นเทิ้ม สีหน้าขาวซีดราวกับโปร่งใส มีสัญญาณแห่งอาการบาดเจ็บปางตายไปทั้งตัว อ่อนแอถึงที่สุด

ทุกผู้คนเบิกตากว้าง กัดฟันแน่น เพียงหมัดเดียวก็สยบบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหลันเทียนฉีคนนี้เอาไว้ได้!

เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้ง ยืนอย่างสันโดษ อาภรณ์หมดจดเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นลุ่มลึกเย็นชาและราบเรียบ ท่วงท่าที่เป็นเอกเทศเช่นนั้นประดุจดั่งผู้เป็นราชัน หมิ่นแคลนสรรพสิ่ง

“ข้า… ข้าถึงกับ… แพ้แล้ว…”

หลันเทียนฉีเปล่งเสียงแหบพร่า ราวกับว่าไม่สามารถยอมรับได้ สีหน้ามึนงง ตำแหน่งที่เขาคุกเข่าลงอยู่ต่อหน้าชิงอวิ๋นหยางพอดิบพอดี

ครู่ต่อมาเบื้องหน้าสายตาเขาก็เป็นสีเทาสลัวทั้งผืน

“เจ้าเป็นใคร… เหตุใด… เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้”

เนิ่นนานให้หลัง หลันเทียนฉีพยายามขัดขืน เหลือบตาขึ้นมองไปทางอีกฝ่าย กลับพบว่าในโถงว่างเปล่าไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกับชิงอวิ๋นหยางจากไปตั้งแต่เมื่อไร

“แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้… แพ้อย่าง… น่าอนาถจริงๆ…”

หลันเทียนฉีเย้ยหยันตนเอง น้ำเสียงอู้อี้เปี่ยมด้วยความท้อแท้และสิ้นท่า

ผู้คนในโถงใหญ่เงียบกริบ สีหน้าอึมครึมไม่สงบ สภาพอารมณ์ภายในใจยังคงมิอาจสงบลงได้ พวกเขามองไปทางหลันเทียนฉี อดรู้สึกทุกข์ใจไปด้วยไม่ได้

บุตรเทพชั้นยอดผู้หนึ่ง พราวตาสง่าผ่าเผยเพียงใด ทว่ายามนี้กลับตกต่ำน่าเวทนาจนพาให้ผู้คนสะเทือนอารมณ์!

และทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะหมัดเดียวที่มอบให้!

เด็กหนุ่มคนนั้น เป็นใครกันแน่?

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์