นึกถึงทุกเรื่องที่ประสบมาทั้งหมดในวันนี้ เขาพลันเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ที่แท้… เขาก็เป็นเด็กหนุ่มเทพมารผู้ปลุกปั่นทั่วน่านสมุทรทะเลใต้จนโกลาหลอลหม่านจริงๆ!
สักพักภายในใจชิงอวิ๋นหยางหวนสู่ความสงบ แปรเป็นความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จากตัวของหลินสวิน ทำให้เขามองเห็นหนทางแห่งผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ตระหนักได้ว่าการแสดงออกที่ผ่านมาของตน มันไม่เพียงพอและเหลือทนมากเกินไป
‘เสียทีที่ข้าเป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว ใครเลยจะคาดคิด ก็เป็นแค่กบในกะลาตัวหนึ่งเท่านั้น นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะพากเพียร ละทิ้งทุกสิ่ง มุ่งมั่นสู่มหามรรคแห่งตน!’
ชิงอวิ๋นหยางสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก แววตาลุ่มลึกมาดมั่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ ทำให้บุคลิกทั้งกายของเขาเริ่มแตกต่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ติดตามเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้ๆ กลุ่มหนึ่งก็สัมผัสได้อย่างฉับไว บุตรเทพของพวกเขาราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน บุคลิกเคร่งขรึมและเยือกเย็น ทำให้พวกเขาต่างลอบอัศจรรย์ใจ
‘จริงด้วย ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินทิ้งสิ่งของอะไรไว้ให้ข้า’
ในใจชิงอวิ๋นหยางพลันตื่นเต้น หมุนกายเดินเข้าไปในหอหยกขาวนพนภา แล้วจึงคลี่เปิดถุงเก็บของที่หลินสวินมอบให้อย่างระมัดระวัง
จากนั้นไม่นานชิงอวิ๋นหยางราวกับถูกอสนีฟาด ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น อกกระเพื่อมขึ้นลงระลอกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปหลากสีสันถึงขีดสุด
มีทั้งตื่นตระหนก ทั้งดีใจแทบคลั่ง และยิ่งมีความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหนึ่งด้วย
สิ่งของภายในถุงเก็บของนั้นแสนเรียบง่าย เป็นตำราคัมภีร์หลายเล่ม มี ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ ของเผ่าสิงห์โลหิต ‘วิชาสำรอกรู้ตน’ ของเผ่าวาฬมังกร ‘วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่ง’ ของเผ่าวัวมารทรงพลัง ‘คัมภีร์หกเกราะผนึกมาร’ ของเผ่าโห่วเมฆา…
ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มนั้นต่างเรียกได้ว่าหาที่เปรียบมิได้ มีความน่าอัศจรรย์ไร้ขอบเขต เป็นมรดกลับขั้นสูงสุดของแต่ละเผ่า ภายในบรรจุแก่นแท้อัศจรรย์แห่งมหามรรค มูลค่ายิ่งใหญ่เกินกว่าจินตนาการ
หากแพร่งพรายออกไป ทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้คงจมสู่ความสั่นสะเทือน บังเกิดลมมรสุมคับฟ้า!
‘มิน่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นถึงไม่สนศักดิ์ศรี คิดจะร่วมมือกันไล่สังหารเขา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงไม่มีใครทนให้มรดกลับสูงสุดของเผ่าตนเองรั่วไหลออกไปได้หรอก…’
สีหน้าของชิงอวิ๋นหยางปลงอนิจจัง ยิ่งสะเทือนใจกับความน่ากลัวของหลินสวิน แข็งขืนช่วงชิงมรดกลับสูงสุดของเผ่าใหญ่ได้จำนวนมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้!
‘หากมีความสามารถมากพอจะหยั่งถึงความลับของตำราคัมภีร์พวกนี้ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปหากข้าต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าวาฬมังกร เผ่าวัวมารทรงพลังพวกนี้ละก็ จะครอบครองข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!’
‘เพราะความลับแก่นแท้ที่พวกเขาฝึก ล้วนถูกข้าหยั่งถึงจนหมดแล้ว’
‘บางที นี่ก็คือเป้าหมายที่หลินสวินมอบตำราคัมภีร์พวกนี้ให้ข้ากระมัง…’
หัวใจของชิงอวิ๋นหยางพองโตขึ้น ท้ายที่สุดสายตาของเขามองทะลุบานหน้าต่างไปยังผืนน้ำสีฟ้าครามซึ่งอยู่ไกลออกไป กล่าวพึมพำว่า “หลินสวิน ขอบคุณมาก! ยามเมื่อมหาสงครามที่แท้จริงมาถึง ข้าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันกับเจ้า บนหนทางแห่งการต่อสู้มหามรรค!”
……
หอวาโยเมามาย ชั้นที่เก้า
ในโถงใหญ่ทั่วพื้นระเนระนาด
หลันเทียนฉี ลั่วหยาและกลุ่มผู้มากความสามารถรุ่นใหม่ของแต่ละเผ่าต่างมีสีหน้าอึมครึม นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น
ถึงแม้หลินสวินและชิงอวิ๋นหยางจะออกไปแล้ว แต่พวกเขาเหล่านี้ต่างไม่สามารถสงบลงมาได้เลยสักคน พอนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ภายในจิตใจของพวกเขาล้วนสั่นระริกหวาดกลัว และมีความอัปยศที่ยากอธิบายประการหนึ่งด้วย
“ในบุตรเทพชั้นยอดระดับหยั่งสัจจะที่เป็นคนรุ่นเยาว์แห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ดูเหมือนจะไม่มีบุคคลเช่นนี้อยู่กระมัง พวกเจ้าว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่”
ลั่วหยาเปล่งเสียงทุ้มต่ำ ทำลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดนี้
ทุกคนต่างมองหน้าสบสายตากัน
“หากข้าเดาไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดตามตำนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
สุดท้ายหลันเทียนฉีก็เอ่ยปาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก สีหน้าอึมครึม “ขอบเขตเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่าขอบเขตแห่งราชัน! ดุจดั่งราชันสูงสุดที่อยู่ในระดับนี้ ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิ เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”
“ผู้ที่สามารถต้านทานเขาได้ ก็มีแต่บุคคลชั้นยอดที่บรรลุถึงขอบเขตราชันเช่นเดียวกันเท่านั้น! ผู้ฝึกปราณอื่นๆ ทั้งปวง ต่างไม่สามารถเป็นปรปักษ์ได้”
“ราชัน หมิ่นแคลนทั่วทั้งระดับ ดุจดั่งมังกรเทพบนแดนสรวง ในยุคบรรพกาลรู้จักกันในนามมกุฎวีรชน สามารถกำราบทั้งระดับ กวาดล้างทุกสิ่ง!”
“บุคคลระดับนี้ แม้จะอยู่ในยุคบรรพกาลก็ยังเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน!”
ถ้อยคำนี้ เมื่อถูกคนระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหลันเทียนฉีพูดออกมา ก็ราวกับสายฟ้าน่าตะลึงสายหนึ่ง ทำให้ทั่วโถงไร้สุ้มเสียง จมสู่ความตะลึงงัน
เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้น ถึงกับเป็นราชันสูงสุดที่ยืนมั่นอยู่ในระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง? สามารถกำราบทั่วทั้งระดับ กวาดล้างศัตรูรุ่นเดียวกันทั้งปวง?
นี่เป็นเหมือนเทพนิยายปรัมปราแสนเลือนลางเรื่องหนึ่ง เปี่ยมด้วยสีสันอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้ผู้คนแทบไม่กล้าปักใจเชื่อ
“บนโลกใบนี้… มีบุคคลไร้เทียมทานระดับนี้จริงๆ หรือ” ใครบางคนเสียงสั่น
“มี!”
หลันเทียนฉีตอบด้วยความมาดมั่นทรงพลัง นัยน์ตาทอแสงแห่งการหวนระลึก “ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ข้าเคยติดตามผู้อาวุโสในเผ่าไปเยือน ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ และที่นั่นข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับมกุฎวีรชน”
“สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ในบรรดาขุมอำนาจใหญ่ที่สืบสายมาจากยุคบรรพกาลเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณ ก็มีบุคคลไร้เทียมทานที่ราวกับปีศาจเช่นนี้อยู่!”
“อย่างเช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มีชื่อเสียงระบือในดินแดนรกร้างโบราณ ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ยามเมื่ออยู่ในระดับหยั่งสัจจะก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชันสูงสุดที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน”
อวิ๋นชิ่งไป๋!
ครั้นได้ยินชื่อนี้ ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อนเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางความตะลึงงัน สีหน้าลั่วหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวเสียงหลงว่า “หรือว่า… เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั่นก็เป็นราชันคนหนึ่งเช่นกัน?”
หลันเทียนฉีกล่าวเสียงขรึม “เขาสามารถพิชิตข้าได้ในการโจมตีสามครั้ง ทำให้ข้าปราศจากเรี่ยวแรงในการตอบโต้โดยสิ้นเชิง บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ไม่ราชัน ก็มีแต่จะเหนือชั้นกว่าราชัน!”
ทุกคนต่างตระหนักสุดขีด หลันเทียนฉีเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอด แทบจะยืนมั่นอยู่บนปลายยอดของระดับหยั่งสัจจะ ทว่าเมื่อครู่เขาพ่ายแพ้อย่างเละไม่เป็นท่า ถูกเด็กหนุ่มคนนั้นกำราบในหมัดเดียว
ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทอดสายตาไปทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้ กลัวแต่ว่าคงหาไม่พบเลยสักคน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์