อีกเจ็ดคนที่เหลือบไปเห็นเงาร่างลึกลับราวกับผู้เป็นนาย ก็ตกใจหนีอุตลุด!
ครั้นข่าวนี้แพร่ออกไป ก็ประหนึ่งลมมรสุมลูกหนึ่ง กวาดม้วนทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ขุมอำนาจแต่ละเผ่าที่ยึดครองอาณาเขตต่างๆ ไม่มีใครไม่หน้าเปลี่ยนสี ตกสู่ความโกลาหล
เวลาหนึ่งวันถึงกับมีคนใหญ่คนโตระดับผู้อาวุโสหกท่านหายตัวไป อาจจะประสบภัยพิบัติ ไม่สามารถกลับมาได้อีก เรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
สิ่งนี้ทำให้ชื่อของ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ยิ่งฝังลึกและน่ากริ่งเกรงมากขึ้น สำหรับแต่ละเผ่าในน่านสมุทรทะเลใต้ต่างมองว่าที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามมหันตภัย เอ่ยถึงก็พลันหน้าถอดสี
ขณะเดียวกันข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ ก็พลอยแพร่พระจายไปพร้อมกับเรื่องโกลาหลฉากนี้ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮานับไม่ถ้วน
ผู้ใดก็ไม่สามารถจินตนาการได้ หนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์ในระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น กลับดุจดั่งฆ่าไม่ตาย สามารถรอดพ้นจากเคราะห์สังหารคับฟ้าได้ทุกครั้ง ราวกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งชัดๆ
แรกเริ่มเดิมทีที่ด้านนอกแดนลับอสูรมารอริยะ บุคคลสำคัญแต่ละเผ่าต่างจ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาสิงห์ ปิดล้อมทั่วทิศทาง ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังหนีไปจนได้
และในตอนนี้ยามเผชิญหน้ากับการไล่สังหารของราชันระดับสังสารวัฏสิบกว่าคน เขาก็หนีพ้นไปอีกครั้ง กลับเป็นราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นที่มีทั้งตายและหนี ทำให้ผู้คนปากอ้าตาค้างนัก
ทุกอย่างนี้ล้วนเห็นได้ชัดว่าเหลือวิสัยเกินไป และทำให้เผ่าต่างๆ ในน่านสมุทรทะเลใต้รู้สึกว่าหน้าไร้แวว อับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวกลับสร้างความวุ่นวายทั่วน่านสมุทรทะเลใต้ พัดโหมพายุไม่รู้ตั้งเท่าใด ทว่าท้ายที่สุดกลับไม่มีใครหยุดเขาได้ ปล่อยให้เขาหนีไปโดยสวัสดิภาพ!
ทุกอย่างนี้แสดงชัดว่าพวกเขาเผ่าต่างๆ ในน่านสมุทรทะเลใต้ไร้ความสามารถเกินไปแล้ว!
หลินเสวียน!
ไม่ว่าพายุลูกนี้จะโกลาหลและตะลึงโลกมากเพียงใด ทั้งสร้างเสียงฮือฮาและตกตะลึงมากเท่าใด ชื่อนี้ได้ถูกขุมอำนาจแต่ละเผ่าจดจำเอาไว้แล้ว
เนื่องจากชื่อนี้เป็นตัวแทนของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ถูกขนานนามว่า ‘เทพมาร’ เคยทิ้งตำนานบทหนึ่งไว้ในน่านสมุทรทะเลใต้
เพียงแต่สำหรับเผ่าต่างๆ นั้น ตำนานที่เป็นของเด็กหนุ่มเทพมารบทนี้ กลับเป็นความอัปยศที่ทำให้พวกเขาอับอายอย่างหนึ่ง
……
“นี่สิถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งเพชรน้ำเอกอย่างแท้จริง!”
ยามที่ได้รู้ข่าวนี้ บนเกาะแสงขจีอาณาเขตในครอบครองของเผ่าตะพาบเขียว ชิงอวิ๋นหยางส่งเสียงปลงอนิจจังเยี่ยงนี้ออกมาอีกครั้ง
และเป็นวันนี้ที่เขาเข้าสู่ดินแดนบรรพบุรุษของเผ่า เริ่มต้นปิดด่าน
“ครานั้นผู้คนไม่รู้จักรุกข์เสียดเมฆา จนพฤกษาระเมฆถึงบอกว่ามันสูงลิ่ว!”
ผู้อาวุโสตะพาบเขียวสองมือไพล่หลัง แววตาลึกล้ำ เอ่ยวาจากับบุคคลสำคัญระดับสูงข้างกายกลุ่มหนึ่งอย่างชอบใจ “พวกเจ้ารอดูเอาเถิด น้องชายคนนี้ของข้า ยามที่มหาสงครามมาเยือนจะต้องส่องแสงแผ่ไพศาลอย่างแน่นอน!”
……
ตอนที่น่านสมุทรทะเลใต้เกิดคลื่นโกลาหลลูกใหญ่ขึ้น หลินสวินได้บังคับยานขนส่งอวกาศมุ่งหน้าหวนสู่จักรวรรดิจื่อเย่าพร้อมกับเจ้าคางคกตั้งนานแล้ว
‘สตรีหมอกลึกลับคนนั้นเป็นใคร นางกับอาหูมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน’
‘ภิกษุที่เบ้าตาว่างเปล่าเปี่ยมด้วยความพิศวงคนนั้น ก็ยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในสุสานสมุทรฝังมรรคใช่หรือไม่’
‘สุสานสมุทรฝังมรรค แห่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แดนลับอสูรมารอริยะ… บริเวณส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณนี่ยังมีสีสันลึกลับน่ากลัวคงอยู่จริงๆ ดังคาด’
‘ต้องมีสักวัน ข้าจะกลับมาอีกครั้งเพื่อตอบแทน ‘เมตตา’ ที่พวกเจ้ามอบให้!’
สวบ!
หลินสวินคิดไปพลางบังคับยานไปด้วย ภายใต้การบังคับของหลินสวิน ยานขนส่งอวกาศราวกับแสงกะพริบ พวยพุ่งด้วยกระบวนแผนภาพโบราณแน่นขนัด แสงเรืองรองสีเงินเปล่งประกายราวกับพิรุณลอยล่อง ไหววูบรุดหน้าด้วยความเร็วน่าอัศจรรย์กลางอากาศ
สมบัติโบราณที่ชำรุดชิ้นนี้ถึงแม้จะรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เผาผลาญพลังกายของผู้ฝึกปราณไปอย่างเกินจริงสุดขีดเช่นกัน
อิงจากการฝึกปราณในปัจจุบันของหลินสวิน อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงประคับประคองไปสามชั่วยาม
นอกจากนี้แล้ว สมบัติโบราณลำนี้ยังจำเป็นต้องใช้ผลึกวิญญาณระดับสูงจำนวนมากมาเปิดใช้กระบวนแผนภาพ ซึ่งก็เป็นการฟุ่มเฟือยมหาศาลเช่นกัน
หากไม่ใช่ว่าหลินสวินได้กำไรเหลือล้นมาจากแดนลับอสูรมารอริยะ ลำพังแค่การเผาผลาญชนิดนี้ ก็สามารถทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้แล้ว
นี่ก็คือข้อบกพร่องของสมบัติโบราณแข็งแกร่ง ถึงแม้จะวิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ ทว่าการเผาผลาญก็น่าตกใจสุดขีดเช่นเดียวกัน คนทั่วไปแทบไม่สามารถใช้งานมันได้เลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ขอเพียงสามารถหวนสู่จักรวรรดิจื่อเย่าโดยสวัสดิภาพ การเผาผลาญทั้งหมดล้วนคุ้มค่า
สิ่งที่ทำให้หลินสวินตื่นตัวอย่างแท้จริง คืออันตรายและเคราะห์พิบัติธรรมชาติที่มีมากเกินไปตลอดเส้นทางนี้ ดังเช่นพายุมรสุมกลวงเปล่า ความปั่นป่วนของเวลา อสนีบาตฟ้าคำรามที่น่ากลัว รวมถึงสิ่งมีชีวิตดุร้ายที่กระจายอยู่ในทะเล… อันตรายนั้นเรียกได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ไม่อาจเลินเล่อได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
ซากศพโบราณที่ลอยอยู่บนผิวทะเลไม่รู้ยาวนานเท่าใด อาจซ่อนอันตรายเพียงพอที่จะฆ่าทำลายทุกสิ่งได้
ในพยับหมอกที่ลอยเอื่อยพิศวงนั้น บางทีอาจปรากฏสิ่งมีชิวิตแข็งแกร่งตนหนึ่งที่สามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏใจเสาะได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ประหลาดอีกมากมายก่ายกอง มีวิญญาณอาฆาตเป็นกลุ่มก้อน และมีซากศพโบราณที่อำมหิตกระหายเลือด ยิ่งไม่ขาดแคลนสิ่งมีชีวิตพิลึกพิศดารบางส่วน ดำผุดดำว่ายอยู่ทั่วบริเวณในทะเลกลืนวิญญาณ
ที่แห่งนี้ดุจดั่งนรกชัดๆ ความน่าหวาดกลัวภายในนั้นเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดๆ รู้สึกถึงความสิ้นหวัง ไม่กล้าก้าวข้ามสักก้าว
แม้ว่าพวกหลินสวินจะโดยสารยานขนส่งอวกาศ แต่ตลอดทางต่างก็ระแวดระวัง เกรงว่าจะบังเกิดอันตรายอะไรขึ้น
ยังดีที่ความสามารถในการหลบเลี่ยงของยานขนส่งอวกาศนั้นร้ายกาจสุดขีด แม้แต่การโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏยังหลบเลี่ยงไปได้ สิ่งนี้ทำให้พวกหลินสวินแคล้วคลาดจากอันตรายร้ายแรงฉากแล้วฉากเล่าได้อย่างขวัญหนีดีฟ่อ
หลินสวินและเจ้าคางคกสลับกันบังคับยานขนส่งอวกาศ นับว่าสอดประสานเข้าด้วยกันดี ไม่ได้เกิดความแตกต่างอันใดขึ้น
ตลอดทางหลินสวินไม่ได้ละทิ้งการฝึกปราณ ขอเพียงมีเวลาว่างก็จะสำรวมจิตฝึกฝน พยายามหยั่งรู้ความลึกลับแห่งวิชายุทธ์
วันที่ห้าของการล่องบนทะเลกลืนวิญญาณ
หลินสวินหยั่งถึงร่างสามของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ‘ประทับปี้อั้น’!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์