สรุปตอน ตอนที่ 647 – จากเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
ตอน ตอนที่ 647 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
มู่หวั่นซูนัยน์ตาหดรัดลงทันที แทบจะไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง
เขา…
ยังมีชีวิตอยู่?
ไหนบอกว่าเขาเสียชีวิตในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณแล้ว?
มู่หวั่นซูแทบจะนึกว่าเกิดภาพลวงตาแล้ว แต่สัญชาตญาณของนางบอกนางว่า เด็กหนุ่มคนนี้คือหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
แม้ว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน บุคลิกของหลินสวินจะเปลี่ยนไปมาก มีกลิ่นอายโดดเด่นที่อธิบายไม่ถูก แต่รูปลักษณ์ของเขาแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
นอกจากความตะลึง ความดีใจก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจมู่หวั่นซูอย่างควบคุมไม่อยู่ ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังและไร้ที่พึ่งที่สุด หลินสวินเข้ามาราวกับเทพจากสวรรค์ ทำให้ราชันอินทรีแดงนั่นบาดเจ็บภายในดาบเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้าง
“นี่…นี่คือเรื่องจริงหรือ เจ้ายังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ” อีกด้านหวังหลินเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“ข้ายังมีชีวิตอยู่แล้วมีปัญหาอะไรหรือ”
หลินสวินอึ้ง เขามาถึงก็เจอกับภาพอันแปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแปลกใจอย่างที่สุด
เพียงแต่ไม่รอให้เขาได้ถามให้รู้เรื่อง ราชันอินทรีแดงที่อยู่ตรงข้ามก็ส่งเสียงน่าสะพรึง “เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่งถึงกลับก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ทำข้าตะลึงมากจริงๆ”
ในขณะที่พูดมันก็กางปีก เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบร่างกายราวกับอาบด้วยแสงเพลิง พลังน่าพรั่นพรึงทะลวงฟ้า
“ระวัง! อินทรีตัวนี้เป็นสัตว์อสูรมารที่ตื่นจากการหลับใหล พลังน่าสะพรึงกลัว มหายุทธ์ธรรมดามิอาจรับมือได้”
สีหน้าของมู่หวั่นซูเปลี่ยนไป อดเตือนไม่ได้
“ก็แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น พี่หวั่นซูไม่ต้องตื่นเต้น” หลินสวินยิ้มอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าสุภาพหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
มู่หวั่นซูเหม่อลอย รู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อครั้งอยู่ในเมืองตงหลินอีกครั้ง ตอนนั้นหลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มระดับกำลังภายในเท่านั้น และสภาพก็ยากแค้นแสนเข็ญ
แต่เขาในตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครต้องห้าม ราวกับผู้กล้าไร้เทียมทาน ทำให้นางยังชื่นชมและประหลาดใจไม่ได้
เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง
เด็กหนุ่มที่ยากแค้นและอ่อนแอในวันนั้น ผงาดง้ำขึ้นมาในจักรวรรดิแล้ว ตอนนี้แม้เผชิญกับสัตว์อสูรมารดุร้ายอย่างราชันอินทรีแดง ยังสามารถผ่อนคลายไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“สัตว์เดรัจฉาน…”
ดวงตาของราชันอินทรีแดงสาดประกายไฟ เห็นได้ชัดว่าถูกยั่วโทสะด้วยคำเรียกที่แฝงความเย้ยหยันนี้ บำเพ็ญมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยเจอเด็กหนุ่มที่บ้าระห่ำขนาดนี้มาก่อนเลย
“เจ้าหนู เห็นแก่ที่เจ้าฝึกปราณมาไม่ได้ง่ายๆ หากยอมจำนนตอนนี้ บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า มิฉะนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรเรียกว่าตายดีกว่าอยู่อย่างแท้จริง!”
เสียงของราชันอินทรีแดงน่าสะพรึง เผยการข่มขู่
กลุ่มสัตว์อสูรมารที่อยู่บนบริเวณนั้นต่างก็คำรามอย่างเดือดดาล ใจร้อนอยากลงมือ ข่มขู่หลินสวิน
“อย่างเจ้าน่ะ ข้าฆ่ามาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยังจะกล้าอ้างตนว่าเป็นราชัน?” หลินสวินหัวเราะออกมาทันที
ราชันอินทรีแดงแข็งแกร่งมากจริงๆ มีพลังที่สามารถเทียบเคียงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะชั้นยอด นับเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่อสูรมารบำเพ็ญอย่างแน่นอน
แต่ในสายตาของหลินสวิน ความสามารถของมันยังไม่พอ ด้อยยิ่งกว่าหนิวทุนเทียนแห่งเผ่าวัวมารทรงพลังเสียอีก
ได้ยินเช่นนี้ราชันอินทรีแดงยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด “เป็นเจ้ารนหาที่ตายเอง!”
ตูม!
มันกางปีกออก เปลวไฟพวยพุ่งพันจั้ง ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ราวกับพยับเมฆที่ลุกไหม้ สว่างไสวสะดุดตา เผาผลาญภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ จนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แม้แต่สัตว์อสูรมารหลายตัวบริเวณนั้นยังหนีไม่ทัน ถูกเผาจนมอดไหม้ไปด้วย ทำให้เห็นถึงความดุร้ายของราชันอินทรีแดงที่ไม่สนใจชีวิตของลูกน้อง เป็นผู้เหี้ยมโหดกระหายเลือดและเลือดเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย
“น่ารำคาญ!”
หลินสวินไม่เสียเวลาพูดพร่ำอีก ทั้งตัวส่องประกาย ทะยานตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดาบไร้เทียมทานที่ถูกชักออกจากฝัก
สวบ!
เท้าเขาใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างราวกับภาพมายา เปล่งประกายน่าสะพรึงกลัว ไอพลังทะลวงขึ้นเก้าชั้นฟ้า
แข็งแกร่งมาก!
มู่หวั่นซูและหวังหลินต่างตะลึง ไม่ได้เจอกันแค่เดี๋ยวเดียว หลินสวินแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ทั้งยังก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ กลายเป็นมหายุทธ์ที่แท้จริง!
นี่ทำให้คนยากจะเชื่อจริงๆ
ต้องรู้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหลินสวินยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่มหายุทธ์ที่อานุภาพสะเทือนฝั่งหนึ่งของจักรวรรดิได้แล้ว!
ตูม โครม!
ราชันอินทรีแดงสำแดงฤทธิ์ รูปร่างของมันใหญ่โต ร่างกายราวกับเพลิงลุกโหม แดงเข้มราวกับหมอก แต่ตอนนี้ขนสีแดงทุกเส้นของมันแทบจะลุกซู่ขึ้นทั้งหมด
เพราะมันสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงอันตราย
มันยื่นกรงเล็บแหลมคมอย่างที่สุดออกมาพร้อมกับคลื่นเพลิงนับหมื่นพัน จู่โจมสังหารหลินสวินกลางอากาศ
แต่แล้วภาพอันน่าหวาดหวั่นก็ปรากฏขึ้น หลินสวินปล่อยหมัดออกไปเพียงหมัดเดียวเท่านั้น กรงเล็กของอีกฝ่ายก็แหลกละเอียดทันที
พรวด!
แสงเลือดสาดกระเซ็น ราชันอินทรีแดงถอยกลับอย่างเจ็บปวด ปีกสีแดงเพลิงระเบิดออก มันทั้งตกใจทั้งเดือดดาล ความหนาวเยือกพวยพุ่งขึ้นในใจ
เพียงการโจมตีเดียวเท่านั้นก็ทำให้กรงเล็บของมันบาดเจ็บและเกือบจะสูญเสียไปทั้งหมด ทำให้มันตระหนักได้อย่างเต็มที่ ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่มีพลังแกร่งกล้า ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
เงาร่างของหลินสวินราวกับภาพมายา ปราดเปรียวว่องไวอย่างมาก หลังจากลงมือก็ไม่ลังเล ตามไปโจมตีอย่างเด็ดขาด แรงหมัดแข็งแกร่งหนักอึ้ง แฝงพลังอันยิ่งใหญ่ กดข่มอากาศจนทรุดทลาย
ราชันอินทรีแดงตะเบ็งเสียงกราดเกรี้ยว มันเดือดดาลแล้ว ตั้งแต่ตื่นจากการหลับใหลจนถึงตอนนี้ เดิมทีมันนึกว่าจะสามารถเหยียดหยัดทุกสิ่งได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวเท่านั้นก็ทำให้มันประสบความพ่ายแพ้
ความสามารถของราชันอินทรีแดงแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยๆ ในระดับหยั่งสัจจะ ก็แข็งแกร่งกว่าบุคคลระดับบุตรเทพของเผ่าต่างๆ ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณไปหนึ่งระดับ
ส่วนในจักรวรรดิจื่อเย่า เมื่อเทียบกับมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเผ่ามนุษย์ ราชันอินทรีแดงจัดอยู่ในระดับสูง อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว
ร่างเดิมของราชันอินทรีแดงเป็นสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์ประหลาดบรรพกาล ‘อินทรีโลหิตเพลิงวิญญาณ’ ควบคุมท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟแต่กำเนิด และนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในระดับชั้นยอดของอสูรมารบำเพ็ญ สัตว์อสูรมารธรรมดาไม่สามารถเทียบได้
สำหรับการยอมจำนนของอสูรมารบำเพ็ญระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าหลินสวินต้องยินดีอยู่แล้ว
เขาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ต่อไปจะให้ราชันอินทรีแดงเป็นผู้คุ้มกันของภูเขาชำระจิต เช่นนี้ภายภาคหน้า แม้ตนจะจากไป เดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงญาติมิตรเหล่านั้นมากเกินไป
หลินสวินถึงขั้นกำลังคิดว่า ก่อนไปดินแดนรกร้างโบราณจะจับสัตว์อสูรมารที่แข็งแกร่งมาเพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้มาเป็นสัตว์คุ้มกันของภูเขาชำระจิต
“หลินสวิน ในข่าวลือบอกว่าเจ้า…ประสบเคราะห์ไปแล้วมิใช่หรือ เจ้าประสบเหตุการณ์อันใดในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณกันแน่”
ลังเลอยู่นาน สุดท้ายมู่หวั่นซูก็อดถามไม่ได้
“ประสบเคราะห์หรือ ใครบอก”
หลินสวินอึ้ง
“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ข่าวนี้ถูกเผยแพร่อย่างบ้าคลั่งตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อนแล้ว ล้วนบอกว่าเจ้าตายในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว… เอ้อ จริงสิ เจ้าเพิ่งกลับมา จะรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร”
คำพูดของมู่หวั่นซูทำให้หลินสินขมวดคิ้ว ประกายเย็นเยียบแวบผ่านเข้ามาในดวงตา ใครเป็นคนเผยแพร่ข่าวชั่วร้ายเช่นนี้
น่าเสียดายที่มู่หวั่นซูไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวกันแน่ นางเองก็ได้ยินมาอีกที
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กำหนดเป้าหมาย ต้องเป็นพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิงที่คิดไม่ซื่อ ปล่อยข่าวเท็จแบบนี้เป็นแน่
และก็มีเพียงพวกเขาที่รู้ทุกสิ่งที่ตนประสบในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ!
‘อยากจะใช้วิธีเช่นนี้ใส่ความและโจมตีข้างั้นหรือ ดูท่าความสามารถของพวกเจ้าช่างน้อยนิด!’
หลินสวินยิ้มเยาะในใจ
ตอนนั้นเขาปรากฏตัวในฐานะ ‘หลินเสวียน’ แต่ถ้ามีใจอยากสืบก็จะรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาได้ ไม่สามารถปิดบังเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่สิ่งที่หลินสวินไม่เข้าใจคือ เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์อันใด หรือเพียงเพื่อใส่ความและรังแกตน?
มันไม่ง่ายขนาดนั้นแน่!
คิดถึงตรงนี้จู่ๆ หลินสวินก็อยากรีบกลับนครต้องห้ามอย่างเร็วที่สุด
ตนจากมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น กลับถูกปล่อยข่าวลือว่าตายในทะเลกลืนวิญญาณ ถ้าพวกศัตรูรู้เข้าคงจะอดใจไม่ไหว จ้องจะลงมือกับภูเขาชำระจิตใช่หรือไม่?
………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์