กระทั่งอาจจะเป็นนักล่าสัตว์ผู้ฝึกปราณด้วยตนเองที่ถวายชีวิตให้กับอิทธิพลใหญ่บางแห่ง
อย่างไรเสียรูปร่างหน้าตาก็แปลกตาเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่มุ่งหน้ามายังค่ายหมายเลขเจ็ด
และนี่ก็ทำให้ในสายตาของพวกเขา หลินสวินกลายเป็นแกะอ้วนพีตัวหนึ่งที่สามารถเชือดอย่างโหดเหี้ยมได้ในดาบเดียว
ครั้นได้ยินคำสั่งของหัวหน้าทหารยาม ก็มีทหารยามสิบกว่านายพุ่งกรูออกมาพร้อมไอสังหาร จ้องหลินสวินอย่างมุ่งร้าย
หลินสวินมุ่นคิ้ว ในหนังสือคู่มือหนังสัตว์ไม่ได้อธิบายว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ควรรับมืออย่างไร
แต่ว่า ตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียเปล่า เมื่อเห็นดังนี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับแม้เศษเสี้ยว ไอสังหารในสีหน้าท่าทางกลับอันตรธานลับไป เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“มาๆๆ ให้ข้าตรวจสอบก่อนว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นสายลับหรือไม่กันแน่!”
ชายฉกรรจ์ล่ำสันคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าด้วยอาการเหิมฮึกเป็นคนแรก ถูหมัดเช็ดฝ่ามือ ประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นของเขาไวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าในสัมภาระบนหลังของหลินสวินมีของดีอยู่ไม่น้อย
ปึง!
เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ห่างจากหลินสวินราวๆ หนึ่งจั้ง ทั้งตัวคล้ายถูกเขาไท่ซานกดทับ เสียงตึงโครมใหญ่ คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วยิ่งยวด
ทหารยามเหล่านั้นที่ตามหลังเขามาติดๆ เงาร่างของแต่ละคนก็โซซัดโซเซ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ถูกพลังอำนาจน่าหวาดกลัวอันไร้รูปกดทับเอาไว้ ประหนึ่งร่ำสุราจนเมามายก็มิปาน
หลังจากนั้นเสียงดังตึงๆ ดังก้องหนึ่งระลอก ทหารยามเหล่านั้นต่างคุกเข่าลง ใบหน้าแดงก่ำทั้งดวง เข่าสองข้างส่งเสียงแกรกกรากไม่หยุด
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าอยากตรวจสอบข้าวของของข้าหรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงคุกเข่าลงไปกันเล่า นี่กำลังคารวะต้อนรับข้าอยู่หรือ” หลินสวินทำหน้าประหลาดใจ
ทั่วบริเวณเงียบกริบ
ทหารยามคนอื่นๆ ในละแวกหอสังเกตการณ์ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบเลือดกันทั้งนั้น สามารถรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดอันแสนดุร้ายและอันตรายมาจนถึงป่านนี้ ล้วนไม่มีบุคคลธรรมดาสามัญสักคน
ทว่าตอนนี้ พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้เด็กหนุ่มคนนั้น ก็คุกเข่าลงทันที!
นี่มันน่าตระหนกเกินไปแล้ว
“สามหาว!”
ทหารยามนายหนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแผดเสียงคำราม หมายจะขัดขืนแล้วหยัดกายขึ้น ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ถูกกดลงกับพื้นอีกครั้ง กระดูกแทบแหลกลาญ
หลินสวินในยามนี้เป็นผู้อยู่ในขอบเขตราชันที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแล้ว พลังอำนาจของเขามาจากการเคี่ยวกรำผ่านศึกเปื้อนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทหารยามที่เพิ่งจะอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณพวกนี้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมา ก็ไม่กล้าต่อต้านประจันหน้า!
แกร๊กๆ!
บนพื้น ทหารยามเหล่านั้นบิดเกร็งทั่วทั้งตัว ดุจดั่งถูกภูผามหึมากดทับร่าง สีหน้าขาวซีด บนหน้าผากชุ่มเหงื่อกาฬ กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างล้วนกำลังส่งเสียงเสียดสีกันอย่างท้วมทัน จวนเจียนหักพัง
อานุภาพกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องถูกกดทับจนเลือดออกเจ็ดทวาร กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างแตกเป็นเสี่ยงแน่
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวในที่สุด ตระหนักได้ว่าเผชิญหน้ากับของแข็งเข้าให้แล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นแกะอ้วนพี เป็นหมาป่าที่ห่มหนังแกะตัวหนึ่งชัดๆ!
“สหาย! มีอะไรก็พูดกันดีๆ!”
บนหอสังเกตการณ์ หัวหน้าทหารยามคนนั้นร้องตะโกนอย่างลนลาน เขาเองก็หน้าเปลี่ยนสี สูดลมหายใจเฮือกไม่หยุด อาศัยแค่พละกำลังก็สามารถบดขยี้ทหารยามเหล่านั้นได้แล้ว บุคคลเช่นนี้ทำให้ในใจเขาบังเกิดความกลัวลนลาน
ยามที่เอ่ยวาจา เขาได้พุ่งลงมาจากด้านบนหอสังเกตการณ์แล้ว
“คนที่ไม่อยากพูดกันดีๆ เป็นพวกเจ้ากระมัง” นัยน์ตาของหลินสวินมองสำรวจหัวหน้าทหารยามคนนั้น กลางนัยน์ตาดำเจือแววเย็นเยียบลึกล้ำ
หัวหน้าทหารยามคนนั้นพลันรู้สึกเหมือนถูกใบมีดคมกริบไร้รูปอันหนึ่งพาดบนลำคอ กลิ่นอายอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้ทั่วร่างของเขาราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เหงื่อกาฬไหลออกมาปานน้ำตก เปียกชุ่มไปทั่วร่าง
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจจนวิญญาณกระเจิง ผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนมั่นอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดล้วนมีลางสังหรณ์อันเฉียบคมต่ออันตรายกันทั้งสิ้น
และหัวหน้าทหารยามคนนี้ก็ยิ่งเป็นผู้เกรียงไกรหนึ่งในนั้น ชั่วพริบตานี้ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มที่มุ่งหน้าฝ่าม่านราตรีมาเพียงลำพังคนนี้ จะต้องเป็นคนที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคืองแล้ว ขอใต้เท้าโปรดให้อภัย!”
หัวหน้าทหารยามโค้งกายคำนับต่ำ ภายในใจเขายังคงเต้นระส่ำ รับรู้ถึงความกดดันและตึงเครียดอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลินสวินเก็บพลังกล่าวว่า “ข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจอันใดเลย เมื่อครู่หากล่วงเกินไป ก็หวังว่าทุกท่านอย่าได้ใส่ใจ”
หัวหน้าทหารยามถอนหายใจโล่งอก ปาดเหงื่อเย็นหนึ่งคราแล้วฝืนยิ้มกล่าว “พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคือง ใต้เท้าไม่ถือสานับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว”
“ใช่แล้วๆ” ทหารยามที่ถูกกำราบลงกับพื้นต่างก็ตะกายขึ้นมา สายตาที่มองไปทางหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป ปรากฏความกริ่งเกรงอย่างสุดซึ้งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขนัด
ทหารยามที่อยู่ละแวกหอสังเกตการณ์ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตระหนักได้ว่าคราวนี้เจอของแข็งเข้าให้แล้ว ต่างก็ไม่กล้าพูดมั่วๆ อีก
นี่ก็คือการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเป็นค่ายกระหายเลือดหรือว่าค่ายทหาร คิดจะทำให้พวกเจนจัดเหล่านี้ศิโรราบ การสำแดงพลังออกมาตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว
หลินสวินเองก็คร้านจะยื้อยุดกับพวกเขาแล้ว ทิ้งห่อสัมภาระใหญ่มหึมาบนหลังลงกับพื้นเสียงดังปึง แล้วโบกมือกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ในเมื่อพวกเจ้าจะตรวจสอบ ข้าย่อมไม่อาจไม่เห็นด้วย เมื่อครู่ที่ข้าล่วงเกินไปก็เพราะท่าทีของพวกเจ้ามีปัญหา”
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พวกทหารยามต่างก็มีสีหน้าเหลอหลา อักอ่วนไม่สิ้น อันที่จริงพวกเขายังคิดว่าบังเอิญพบแกะอ้วนพีตัวหนึ่งเข้า ที่บอกว่าจะตรวจสอบนั้น ความจริงในใจนั้นถูกความโลภครอบงำต่างหาก
ครั้นเห็นว่าเวลานี้อีกฝ่ายมีท่าทีสุภาพ หัวหน้าทหารยามยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เอาเถอะ กฎระเบียบไม่อาจละเมิดได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตรวจสอบสักรอบ จะได้ให้ใต้เท้าผู้นี้เข้าค่ายทหารโดยเร็ว”
ทหารยามที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงรับกันเกรียวกราว
สิ่งที่เรียกว่าตรวจสอบก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ใครๆ ก็ดูออกว่าหลินสวินไม่มีทางเป็นสายลับของพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อหลินสวินยืนกราน พวกเขาก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์